เข้าสู่วันที่ 5 ของเหตุการณ์ช็อคโลกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นครั้งใหญ่อีกครั้งของประวัติศาสตร์โลกซึ่งถือว่าเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของโลกครั้งร้ายแรกที่สุดก็ว่าได้ แถมซ้ำร้ายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังระเบิดต่อเนื่องอีกถึง 3 แห่ง ต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างสุดซึ้ง
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยนั้นแน่นอนว่าต้องได้รับผลกระทรบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะญี่ปุ่นถือเป็นเบอร์ 2 ของประเทศส่งออกของไทย “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง ออกมายอมรับว่าผลกระทบมีทั้งลบและบวกต้องขอประเมินสถานการณ์สักระยะหนึ่งก่อน
แต่ที่เห็นผลในทันทีก็คือราคาน้ำมันโลกที่ลดลงเพราะการผลิตที่หยุดชะงักลงของญี่ปุ่นทำให้ลดการบริโภคลง โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ญี่ปุ่นน้ำเข้าน้ำมัน 4 ล้านบาเรล ขณะที่ประเทศไทยนำเข้าเพียง 1 ล้านบาเรล แต่ขณะนี้การนำเข้าน้ำมันของญี่ปุ่นลดลง 20% ทำให้ราคาน้ำมันลดลง
เช่นเดียวกัน “นริศ ชัยสูตร” ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ฟันธงว่าเหตุร้ายครั้งนี้ฉุดจีดีพีของไทย 0.1% ผู้ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และอาหารแปรรูปจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นแน่นอน แต่ในระยะยาวหากปรับตัวได้ทันประเทศไทยจะได้รับอานิสงส์จากเหตุการครั้งนี้เช่นกัน
แน่นอนว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินมากเป็นประวัติการถึง 15 ล้านล้านเยนหรือ1.83 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งความเคลื่อนไหวของแบงก์ชาติญี่ปุ่นครั้งนี้ใช้ยาแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ และยังระบุในแถลงการณ์ว่าผู้กำหนดนโยบายกังวลว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะตกต่ำลงอีก ขณะที่การผลิตมีแนวโน้มลดลงหลังเกิดธรณีพิบัติภัยและคลื่นยักษ์
สำหรับบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 มี.ค.) ดัชนีทะยานตัวในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น ปิโตรเคมี และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีปรับตัวต่ำสุดที่ 1,007.19 จุด และปิดตลาดในระดับสูงสุดที่ 1,022.89 จุด บวก 15.83 จุด หรือ 1.57% สวนทางกับตลาดหุ้นนิกเคอิของญี่ปุ่นซึ่งเปิดทำการวันแรกดัชนีได้ปรับตัวร่วงหนักกว่า 6.4% สูงกว่าเมื่อเดือนกันยายน 2008 จากกรณีบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย
ปิดท้ายด้วย “WINDSOR” ประกาศความสำเร็จโชว์รายได้ปี 53 โดยบิ๊กบอส “ปรเมศวร์ นิสากรเสน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด บริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี (SCG) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งไวนิล (Vinyl) ภายใต้แบรนด์ “WINDSOR” (วินด์เซอร์) ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไวนิลเพื่อการก่อสร้างและตกแต่งที่อยู่อาศัย ประกาศความสำเร็จโชว์รายได้ปี 53 โตตามเป้า 20 เปอร์เซ็นต์ รวมรายได้กว่า 1,200 ล้านบาท ประกาศเดินเกมรุกสร้างแบรนด์ต่อเนื่องในปี 54 ย้ำภาพลักษณ์แบรนด์คุณภาพผู้นำตลาด พร้อมดันสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้สู่ตลาดเต็มรูปแบบ หลังครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งในตลาดประตูหน้าต่างไวนิล ...
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยนั้นแน่นอนว่าต้องได้รับผลกระทรบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะญี่ปุ่นถือเป็นเบอร์ 2 ของประเทศส่งออกของไทย “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง ออกมายอมรับว่าผลกระทบมีทั้งลบและบวกต้องขอประเมินสถานการณ์สักระยะหนึ่งก่อน
แต่ที่เห็นผลในทันทีก็คือราคาน้ำมันโลกที่ลดลงเพราะการผลิตที่หยุดชะงักลงของญี่ปุ่นทำให้ลดการบริโภคลง โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ญี่ปุ่นน้ำเข้าน้ำมัน 4 ล้านบาเรล ขณะที่ประเทศไทยนำเข้าเพียง 1 ล้านบาเรล แต่ขณะนี้การนำเข้าน้ำมันของญี่ปุ่นลดลง 20% ทำให้ราคาน้ำมันลดลง
เช่นเดียวกัน “นริศ ชัยสูตร” ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ฟันธงว่าเหตุร้ายครั้งนี้ฉุดจีดีพีของไทย 0.1% ผู้ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และอาหารแปรรูปจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นแน่นอน แต่ในระยะยาวหากปรับตัวได้ทันประเทศไทยจะได้รับอานิสงส์จากเหตุการครั้งนี้เช่นกัน
แน่นอนว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินมากเป็นประวัติการถึง 15 ล้านล้านเยนหรือ1.83 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งความเคลื่อนไหวของแบงก์ชาติญี่ปุ่นครั้งนี้ใช้ยาแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ และยังระบุในแถลงการณ์ว่าผู้กำหนดนโยบายกังวลว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะตกต่ำลงอีก ขณะที่การผลิตมีแนวโน้มลดลงหลังเกิดธรณีพิบัติภัยและคลื่นยักษ์
สำหรับบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 มี.ค.) ดัชนีทะยานตัวในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น ปิโตรเคมี และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีปรับตัวต่ำสุดที่ 1,007.19 จุด และปิดตลาดในระดับสูงสุดที่ 1,022.89 จุด บวก 15.83 จุด หรือ 1.57% สวนทางกับตลาดหุ้นนิกเคอิของญี่ปุ่นซึ่งเปิดทำการวันแรกดัชนีได้ปรับตัวร่วงหนักกว่า 6.4% สูงกว่าเมื่อเดือนกันยายน 2008 จากกรณีบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย
ปิดท้ายด้วย “WINDSOR” ประกาศความสำเร็จโชว์รายได้ปี 53 โดยบิ๊กบอส “ปรเมศวร์ นิสากรเสน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด บริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี (SCG) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งไวนิล (Vinyl) ภายใต้แบรนด์ “WINDSOR” (วินด์เซอร์) ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไวนิลเพื่อการก่อสร้างและตกแต่งที่อยู่อาศัย ประกาศความสำเร็จโชว์รายได้ปี 53 โตตามเป้า 20 เปอร์เซ็นต์ รวมรายได้กว่า 1,200 ล้านบาท ประกาศเดินเกมรุกสร้างแบรนด์ต่อเนื่องในปี 54 ย้ำภาพลักษณ์แบรนด์คุณภาพผู้นำตลาด พร้อมดันสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้สู่ตลาดเต็มรูปแบบ หลังครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งในตลาดประตูหน้าต่างไวนิล ...