แอลจีปรับทัพรับหัวเรือใหม่ กร้าวขึ้นแท่นผู้นำในทุกผลิตภัณฑ์ในปี 2012 ทุ่ม2,000 ล้านบาท ลุยปี 54 เปิดศึกรุกธุรกิจใหม่เจาะตลาดบีทูบี มั่นใจส่งรายได้สิ้นปีแตะ 22,000 ล้านบาท เติบโต 20%
นายชิน ฮัก (เจฟ) เช กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการประจำ แอลจี ประเทศไทย ได้วางวิสัยทัศน์ในการทำงานด้วยการนำผลิตภัณฑ์แอลจีก้าวขึ้นอันดับหนึ่งในทุกผลิตภัณฑ์ให้ได้ในปี 2012 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ ภายใต้การบริหารจัดการภายในที่ต้องมีการปรับใหม่ เพื่อความกระชับฉับไวในการทำงาน ให้ทุกขั้นตอนการดำเนินงานอยู่ในระบบเดียวกัน เริ่มตั้งแต่การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงช่องทางการขาย ภายใต้ 4 แนวทาง หลัก คือ 1.การนำเสนผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่แตกต่างและโดดเด่น 2.สร้างการทำตลาด 3. ขยายโอกาสทางธุรกิจ และ 4.มุ่งพัฒนากระบวนการผลิต
โดยในส่วนของการลงทุนในปีนี้ เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 1,500 ล้านบาท ทำการตลาดเชิงรุก เน้นสร้างความแตกต่างผ่านกิจกรรมทางการตลาด และสร้างแบรนด์เป็นหลัก พร้อมให้น้ำหนักกับช่องทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีก 25% เพื่อสร้างการรับรู้และความชื่นชอบแบรนด์สู่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของโรงงาน เพิ่มทุนอีก 500 ล้านบาท ในการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะบุกในปีนี้ รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศด้วย รวมแล้วปีนี้ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทางบริษัทเตรียมขยายไลน์ธุรกิจใหม่ เจาะกลุ่มธุรกิจแบบบีทูบี หรือ ลูกค้าระดับองค์กรมากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของความเป็น Total Solutions ประกอบด้วย กล้องวงจรปิด, ระบบทีวีสำหรับโรงแรม, โซลูชัน Digital Signage และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโต 4-5% ค่าเงินบาทแข็งตัว ความต้องการในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น ส่วนปัจจัยลบมอว่าการที่สินค้าทางการเกษตรจะมีผลผลิตน้อยลง จากฤดูหนาวที่หนาวนาน รวมถึงการแข่งขันของตลาดนั้น กลับมองเป็นสิ่งท้าทายในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยครั้งนี้
นางอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมานั้น บริษัททำรายได้เติบโตถึง 23% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท โดยในกลุ่มพลาสม่าทีวี มีส่วนแบ่งอยู่ในอันดับ 1, เครื่องซักผ้าฝาหน้า อันดับ 1, แอลซีดีทีวี อันดับ 3, ตลาดรวมทีวี อันดับ 2, เครื่องปรับอากาศ อันดับ 2, ตู้เย็นไซด์บายไซด์ อันดับ 2, โฮมเธียเตอร์อันดับ 1, ไมโครเวฟ อันดับ 2, มือถือ อันดับ 5 และเครื่องดูดฝุ่น อันดับที่ 3
โดยในปีนี้พร้อมที่จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำอยู่ ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆพร้อมที่จะผลักดันให้ก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้น เช่น เครื่องปรับอากาศ ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดไม่ต่ำกว่า 22%, เครื่องซักผ้า ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำในทุกเซ็กเมนต์ จากเดิมเป็นผู้นำเฉพาะกลุ่มฝาหน้า มือถือ และ แอลซีดีทีวี ต้องขึ้นเป็นท็อปทรี หรือทำให้ภาพรวมรายได้ของแอลจีในสิ้นปีนี้ จะเติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 20% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 22,000 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้ ยังมองว่า มูลค่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (HA) ประกอบด้วย ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ และเครื่องดูดฝุ่นจะมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท แอลจีคาดว่า จะมีส่วนแบ่ง 21% ส่วนมูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศปีนี้มองว่าจะสูงถึง 24,000 ล้านบาท แอลจี มองว่า จะมีส่วนแบ่งที่ 22% จาก 18% ในปีก่อน โดยในกลุ่มทีวีนั้น ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมที่ 33,000 ล้านบาทแอลจีตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเป็น 25% จาก 23% และในกลุ่มมือถือ ปีนี้มองว่าจะมีมูลค่า 37,000 ล้านบาท แอลจีมั่นใจมีส่วนแบ่ง 15% จาก 6% ในปีก่อน
นายชิน ฮัก (เจฟ) เช กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการประจำ แอลจี ประเทศไทย ได้วางวิสัยทัศน์ในการทำงานด้วยการนำผลิตภัณฑ์แอลจีก้าวขึ้นอันดับหนึ่งในทุกผลิตภัณฑ์ให้ได้ในปี 2012 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ ภายใต้การบริหารจัดการภายในที่ต้องมีการปรับใหม่ เพื่อความกระชับฉับไวในการทำงาน ให้ทุกขั้นตอนการดำเนินงานอยู่ในระบบเดียวกัน เริ่มตั้งแต่การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงช่องทางการขาย ภายใต้ 4 แนวทาง หลัก คือ 1.การนำเสนผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่แตกต่างและโดดเด่น 2.สร้างการทำตลาด 3. ขยายโอกาสทางธุรกิจ และ 4.มุ่งพัฒนากระบวนการผลิต
โดยในส่วนของการลงทุนในปีนี้ เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 1,500 ล้านบาท ทำการตลาดเชิงรุก เน้นสร้างความแตกต่างผ่านกิจกรรมทางการตลาด และสร้างแบรนด์เป็นหลัก พร้อมให้น้ำหนักกับช่องทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีก 25% เพื่อสร้างการรับรู้และความชื่นชอบแบรนด์สู่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของโรงงาน เพิ่มทุนอีก 500 ล้านบาท ในการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะบุกในปีนี้ รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศด้วย รวมแล้วปีนี้ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทางบริษัทเตรียมขยายไลน์ธุรกิจใหม่ เจาะกลุ่มธุรกิจแบบบีทูบี หรือ ลูกค้าระดับองค์กรมากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของความเป็น Total Solutions ประกอบด้วย กล้องวงจรปิด, ระบบทีวีสำหรับโรงแรม, โซลูชัน Digital Signage และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโต 4-5% ค่าเงินบาทแข็งตัว ความต้องการในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น ส่วนปัจจัยลบมอว่าการที่สินค้าทางการเกษตรจะมีผลผลิตน้อยลง จากฤดูหนาวที่หนาวนาน รวมถึงการแข่งขันของตลาดนั้น กลับมองเป็นสิ่งท้าทายในการเข้ามาทำงานในประเทศไทยครั้งนี้
นางอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมานั้น บริษัททำรายได้เติบโตถึง 23% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท โดยในกลุ่มพลาสม่าทีวี มีส่วนแบ่งอยู่ในอันดับ 1, เครื่องซักผ้าฝาหน้า อันดับ 1, แอลซีดีทีวี อันดับ 3, ตลาดรวมทีวี อันดับ 2, เครื่องปรับอากาศ อันดับ 2, ตู้เย็นไซด์บายไซด์ อันดับ 2, โฮมเธียเตอร์อันดับ 1, ไมโครเวฟ อันดับ 2, มือถือ อันดับ 5 และเครื่องดูดฝุ่น อันดับที่ 3
โดยในปีนี้พร้อมที่จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำอยู่ ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆพร้อมที่จะผลักดันให้ก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้น เช่น เครื่องปรับอากาศ ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดไม่ต่ำกว่า 22%, เครื่องซักผ้า ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำในทุกเซ็กเมนต์ จากเดิมเป็นผู้นำเฉพาะกลุ่มฝาหน้า มือถือ และ แอลซีดีทีวี ต้องขึ้นเป็นท็อปทรี หรือทำให้ภาพรวมรายได้ของแอลจีในสิ้นปีนี้ จะเติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 20% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 22,000 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้ ยังมองว่า มูลค่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (HA) ประกอบด้วย ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ และเครื่องดูดฝุ่นจะมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท แอลจีคาดว่า จะมีส่วนแบ่ง 21% ส่วนมูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศปีนี้มองว่าจะสูงถึง 24,000 ล้านบาท แอลจี มองว่า จะมีส่วนแบ่งที่ 22% จาก 18% ในปีก่อน โดยในกลุ่มทีวีนั้น ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมที่ 33,000 ล้านบาทแอลจีตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเป็น 25% จาก 23% และในกลุ่มมือถือ ปีนี้มองว่าจะมีมูลค่า 37,000 ล้านบาท แอลจีมั่นใจมีส่วนแบ่ง 15% จาก 6% ในปีก่อน