ค่ายรถจักรยานยนต์ “ซูซูกิ” ประกาศทุ่มงบ 3 พันล้านบาท ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ เข้าคุมการขายทั่วประเทศ ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้ ด้วยการซื้อหุ้น “เอส.พี.ซูซูกิ” ทั้งหมดจำนวน 41% กลายเป็นผู้หุ้นเบ็ดเสร็จ 94% คิดเป็นมูลค่านับพันล้านบาท พร้อมปรับภาพลักษณ์และแผนตลาด ใช้งบเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาท และรื้อไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกว่า 500 ล้านบาท หวังภายใน 3 ปี ดันส่วนแบ่งตลาดพุ่ง 15%
นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เปิดเผยว่า ในปี 2554 นับเป็นปีที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจของซูซูกิเป็นอย่างมาก เพราะได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ พร้อมกับเปิดแคมเปญการตลาด “Change & Challenge” หรือ “เปลี่ยน…สู่ชีวิตที่ท้าท้าย” ซึ่งจะเป็นแผนดำเนินธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ไป
“ซูซูกิจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ครั้งใหญ่ เพื่อยื่นยันความมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์คู่กับสังคมไทย นับตั้งแต่เรื่องเครือข่ายการขาย แคมเปญการตลาด และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะแนะนำสู่ตลาด โดยซูซูกิตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งทางการตลาด หรือแชร์ 15% ในระยะเวลา 3 ปี หรือภายในปี 2556 จากปัจจุบันที่มีแชร์อยู่เพียง 4% เท่านั้น”
ทั้งนี้ แผนการที่จะให้บรรลุเป้าหมาย ซูซูกิได้เข้ามาดูแลการขายแทนดิสทริบิวเตอร์ หรือผู้แทนการขายเดิม บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) ครอบคลุมทั่วประเทศ ยกเว้นใน 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งการเข้ามาดูแลการขายครั้งนี้เป็นการตกลงกันด้วยดี โดยทาง เอส.พี.ซูซูกิ ขอถอนจากการทำธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิทั้งหมด ทำให้บริษัทแม่ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาซื้อหุ้นในสัดส่วนของกลุ่ม เอส.พี.ซูซูกิ ทั้งหมดจำนวน 41% และส่งผลให้ปัจจุบันซูซูกิ มอเตอร์ ถือหุ้นในบริษัทไทยซูซูกิมอเตอร์รวม 94.6% และอีกกว่า 4% ยังเป็นของบริษัทบ้านซูซูกิ ที่ดูแลการขายในภาคใต้
“การเข้ามาซื้อหุ้น เอส.พี.ซูซูกิ คงไม่สามารถเปิดเผยจำนวนเงินได้ทั้งหมด นอกจากในส่วน 17% ของเอส.พี.ซูซูกิ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 17% คิดเป็นมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท ส่วนหุ้นที่ซื้อมาจากบริษัทในกลุ่มเอส.พี.ซูซูกิประมาณ 25% ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่รวมแล้วมีมูลค่านับพันล้านบาท” นายเลิศศักดิ์ กล่าวและว่า
ผลจากการซื้อหุ้นในส่วนของ เอส.พี.ซูซูกิ ต่อไปนี้จะทำให้ไทยซูซูกิมอเตอร์ เข้ามาดูแลการขายรถจักรยานยนต์ซูซูกิในไทยทั้งหมด ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้ที่ดูแลโดยบริษัทบ้านซูซูกิ โดยได้ถ่ายโอนดีลเลอร์มาจาก เอส.พี.ซูซูกิ มาแล้วกว่า 90% เหลือเพียงประมาณ 50 แห่ง น่าจะเรียบร้อยภายในไม่กี่เดือนนี้ และจะส่งผลให้ไทยซูซูกิมอเตอร์มีดีลเลอร์ทั้งหมด 200 แห่ง และมีโชว์รูมขายกว่า 450 แห่ง เมื่อรวมกับดีลเลอร์ของบ้านซูซูกิ จะทำให้มีดีลเลอร์ซูซูกิทั่วประเทศ 250 แห่ง หรือกว่า 600 โชว์รูม
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ไทยซูซูกิ มอเตอร์ มีนโยบายที่จะให้ดีลเลอร์ทำธุรกิจเติบโต และมีกำไร จึงมีการปรับเปลี่ยนการทำตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์ซูซูกิให้ทันสมัย โดยจะเปิดโชว์รูม Suzuki World ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายใน 2 ปีครึ่ง และเพิ่มศูนย์บริการจาก 300 แห่ง เป็น 330 แห่ง และยังได้ปรับการส่งอะไหล่ให้เร็วขึ้นเป็นอย่างช้าสุด ภายใน 48 ชั่วโมง
“ในส่วนของการทำกิจกรรมการตลาด ปีนี้จะมีไม่น้อยกว่า 1,000 ครั้ง หรือเฉลี่ยเดือนละ 85 ครั้ง เพื่อเป็นการเข้าหาผู้บริโภคอย่างทั่วถึง นอกจากยังจะร่วมมือกับรถยนต์ซูซูกิอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนฟุตบอลรายการ ซูซูกิ เอเชียน คัพ และเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลสโมสรศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี พร้อมกับมีสนามซูซูกิ สเตดี้ยม ที่อำเภอศรีราชาเป็นของตนเอง เมื่อรวมกับกิจการตลาดอื่นๆ ในปีนี้ซูซูกิจึงตั้งงบการตลาดไว้กว่า 800 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่กว่า 500 ล้านบาท”
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูซูกิ จะเน้นไปที่เทคโนโลยีอันทันสมัยของซูซูกิ และจะมีการเปิดตัวรถใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้แนะนำรถครอบครัว ซูซูกิ สแมช ใหม่สู่ตลาด พร้อมปรับเพิ่มกำลังผลิตรถรุ่นนี้ใหม่ หลังจากที่ไม่สามารถผลิตให้เพียงพอกับความต้องการตลาดในปีที่ผ่านมา โดยปีนี้จะปรับเพิ่ม 72,000 คัน จากเป้าหมายการขายรถจักรยานยนต์ซูซูกิรวม 100,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้กว่า 70,000 คัน และตั้งเป้าส่งออกทั้งหมด 140,000 คัน จากปีที่แล้วส่งออก 120,000 คัน
“ไม่เพียงเท่านั้นซูซูกิยังเตรียมปรับรื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยจะมีการออกแบบและพัฒนารถรุ่นที่ยังไม่ออกสู่ตลาดใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากที่สุด ซึ่งในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ปลายเดือนมีนาคมนี้ จะแนะนำรถยนต์โมเดลใหม่ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ดังนั้นปีนี้จะใช้เงินลงทุนกับการพัฒนาและปรับไลน์ผลิตภัณฑ์กว่า 500 ล้านบาท”
ส่วนรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวสู่ตลาด ซูซูกิ สแมช ใหม่ เป็นการไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พร้อมกับมี 4 สี ในไสตล์สีทูโทนให้เลือก โดยสแมชใหม่นับเป็นรถครอบครัวขนาด 110 ซีซี ที่ให้ความประหยัดเป็นพิเศษ มีให้เลือกเป็นรุ่นสตาร์ทเท้าราคา 3.29 หมื่นบาท, รุ่นดิสก์เบรก/สตาร์ทเท้า ราคา 3.49 หมื่นบาท และรุ่นดิสก์เบรก/สตาร์ทไฟฟ้า ราคา 3.69 หมื่นบาท
นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เปิดเผยว่า ในปี 2554 นับเป็นปีที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจของซูซูกิเป็นอย่างมาก เพราะได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ พร้อมกับเปิดแคมเปญการตลาด “Change & Challenge” หรือ “เปลี่ยน…สู่ชีวิตที่ท้าท้าย” ซึ่งจะเป็นแผนดำเนินธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ไป
“ซูซูกิจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ครั้งใหญ่ เพื่อยื่นยันความมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์คู่กับสังคมไทย นับตั้งแต่เรื่องเครือข่ายการขาย แคมเปญการตลาด และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะแนะนำสู่ตลาด โดยซูซูกิตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งทางการตลาด หรือแชร์ 15% ในระยะเวลา 3 ปี หรือภายในปี 2556 จากปัจจุบันที่มีแชร์อยู่เพียง 4% เท่านั้น”
ทั้งนี้ แผนการที่จะให้บรรลุเป้าหมาย ซูซูกิได้เข้ามาดูแลการขายแทนดิสทริบิวเตอร์ หรือผู้แทนการขายเดิม บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) ครอบคลุมทั่วประเทศ ยกเว้นใน 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งการเข้ามาดูแลการขายครั้งนี้เป็นการตกลงกันด้วยดี โดยทาง เอส.พี.ซูซูกิ ขอถอนจากการทำธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิทั้งหมด ทำให้บริษัทแม่ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาซื้อหุ้นในสัดส่วนของกลุ่ม เอส.พี.ซูซูกิ ทั้งหมดจำนวน 41% และส่งผลให้ปัจจุบันซูซูกิ มอเตอร์ ถือหุ้นในบริษัทไทยซูซูกิมอเตอร์รวม 94.6% และอีกกว่า 4% ยังเป็นของบริษัทบ้านซูซูกิ ที่ดูแลการขายในภาคใต้
“การเข้ามาซื้อหุ้น เอส.พี.ซูซูกิ คงไม่สามารถเปิดเผยจำนวนเงินได้ทั้งหมด นอกจากในส่วน 17% ของเอส.พี.ซูซูกิ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 17% คิดเป็นมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท ส่วนหุ้นที่ซื้อมาจากบริษัทในกลุ่มเอส.พี.ซูซูกิประมาณ 25% ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่รวมแล้วมีมูลค่านับพันล้านบาท” นายเลิศศักดิ์ กล่าวและว่า
ผลจากการซื้อหุ้นในส่วนของ เอส.พี.ซูซูกิ ต่อไปนี้จะทำให้ไทยซูซูกิมอเตอร์ เข้ามาดูแลการขายรถจักรยานยนต์ซูซูกิในไทยทั้งหมด ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้ที่ดูแลโดยบริษัทบ้านซูซูกิ โดยได้ถ่ายโอนดีลเลอร์มาจาก เอส.พี.ซูซูกิ มาแล้วกว่า 90% เหลือเพียงประมาณ 50 แห่ง น่าจะเรียบร้อยภายในไม่กี่เดือนนี้ และจะส่งผลให้ไทยซูซูกิมอเตอร์มีดีลเลอร์ทั้งหมด 200 แห่ง และมีโชว์รูมขายกว่า 450 แห่ง เมื่อรวมกับดีลเลอร์ของบ้านซูซูกิ จะทำให้มีดีลเลอร์ซูซูกิทั่วประเทศ 250 แห่ง หรือกว่า 600 โชว์รูม
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ไทยซูซูกิ มอเตอร์ มีนโยบายที่จะให้ดีลเลอร์ทำธุรกิจเติบโต และมีกำไร จึงมีการปรับเปลี่ยนการทำตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์ซูซูกิให้ทันสมัย โดยจะเปิดโชว์รูม Suzuki World ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายใน 2 ปีครึ่ง และเพิ่มศูนย์บริการจาก 300 แห่ง เป็น 330 แห่ง และยังได้ปรับการส่งอะไหล่ให้เร็วขึ้นเป็นอย่างช้าสุด ภายใน 48 ชั่วโมง
“ในส่วนของการทำกิจกรรมการตลาด ปีนี้จะมีไม่น้อยกว่า 1,000 ครั้ง หรือเฉลี่ยเดือนละ 85 ครั้ง เพื่อเป็นการเข้าหาผู้บริโภคอย่างทั่วถึง นอกจากยังจะร่วมมือกับรถยนต์ซูซูกิอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนฟุตบอลรายการ ซูซูกิ เอเชียน คัพ และเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลสโมสรศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี พร้อมกับมีสนามซูซูกิ สเตดี้ยม ที่อำเภอศรีราชาเป็นของตนเอง เมื่อรวมกับกิจการตลาดอื่นๆ ในปีนี้ซูซูกิจึงตั้งงบการตลาดไว้กว่า 800 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่กว่า 500 ล้านบาท”
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูซูกิ จะเน้นไปที่เทคโนโลยีอันทันสมัยของซูซูกิ และจะมีการเปิดตัวรถใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้แนะนำรถครอบครัว ซูซูกิ สแมช ใหม่สู่ตลาด พร้อมปรับเพิ่มกำลังผลิตรถรุ่นนี้ใหม่ หลังจากที่ไม่สามารถผลิตให้เพียงพอกับความต้องการตลาดในปีที่ผ่านมา โดยปีนี้จะปรับเพิ่ม 72,000 คัน จากเป้าหมายการขายรถจักรยานยนต์ซูซูกิรวม 100,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้กว่า 70,000 คัน และตั้งเป้าส่งออกทั้งหมด 140,000 คัน จากปีที่แล้วส่งออก 120,000 คัน
“ไม่เพียงเท่านั้นซูซูกิยังเตรียมปรับรื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยจะมีการออกแบบและพัฒนารถรุ่นที่ยังไม่ออกสู่ตลาดใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากที่สุด ซึ่งในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011 ปลายเดือนมีนาคมนี้ จะแนะนำรถยนต์โมเดลใหม่ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ดังนั้นปีนี้จะใช้เงินลงทุนกับการพัฒนาและปรับไลน์ผลิตภัณฑ์กว่า 500 ล้านบาท”
ส่วนรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวสู่ตลาด ซูซูกิ สแมช ใหม่ เป็นการไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พร้อมกับมี 4 สี ในไสตล์สีทูโทนให้เลือก โดยสแมชใหม่นับเป็นรถครอบครัวขนาด 110 ซีซี ที่ให้ความประหยัดเป็นพิเศษ มีให้เลือกเป็นรุ่นสตาร์ทเท้าราคา 3.29 หมื่นบาท, รุ่นดิสก์เบรก/สตาร์ทเท้า ราคา 3.49 หมื่นบาท และรุ่นดิสก์เบรก/สตาร์ทไฟฟ้า ราคา 3.69 หมื่นบาท