เซ็นทรัลกรุ๊ป แหยงวิกฤตการเมือง ตั้งคณะทำงานไครซิสแมเนจเม้นท์ เป็นการถาวร ดึงรองปลัดกระทรวงกลาโหมนั่งแท่นประธานบอร์ด พร้อมอัดงบลงทุนปี 54 สูงถึง 20,000 ล้านบาท ลั่นปีนี้เติบโต 12%
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลได้ตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องกิจการวิกฤต หรือ Crisis Management Board ขึ้นเป็นการถาวรแล้ว โดยมี พลเอก พิศณุ อุไรเลิศ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ส่วนกรรมการทั้งชุดเป็นคนนอกตระกูลเซ็นทรัลทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยตั้งมาแล้วเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจเท่านั้น โดยมีหน้าที่บริหารจัดการดูแลเรื่องปัญหาวิกฤติต่างๆ ทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัยพ์สิน บุคคลากรและการประสานงานต่างๆ
“ปี 2553 มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิกฤตครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยประสบการณ์ของเรา ความสามัคคีของบริษัท ผู้บริหาร พนักงาน และลูกค้าที่สนับสนุนทำให้เรายังคงดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์หลักที่พร้อมจะนำบทเรียนที่สำคัญนี้มาปรับใช้”
โดยภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวส่งผลดีต่อการลงทุน แม้ว่าภาวะทางการเมืองและสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศจะยังคงดำเนินอยู่ แต่ด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการขึ้นค่าแรง จะช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ช่วยให้เกิดการขยายตัวของผู้บริโภค
สำหรับทิศทางการลงทุนปี 2554 ของกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งเป้าหมายงบลงทุนรวม 20,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 133,500 ล้านบาท เติบโต 12% จากปี 2553 ด้วยยุทธศาสตร์ “ดำเนินการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตร ควบกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม”
ทั้งนี้ แนวทางการเติบโตหลักจะมาจาก 1.การควบรวมกิจการ ซึ่งจะมีงบประมาณต่างหากแยกจากงบลงทุนปีนี้ แต่จะเน้นในธุรกิจที่เรามีความชำนาญและเกี่ยวเนื่อง ส่วนอะไรที่ไม่เกี่ยวไม่มีประสบการณ์ก็ไม่ทำ เช่น เรื่อง3จี 2.การมุ่งสร้างคุณค่าทางธุรกิจ เช่นการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ด้วยการเปิดชอปปิ้งออนไลน์ และการขายตรง 3.การพัฒนาและขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ จะลงทุนต่อเนื่องและลงทุนธุรกิจในจีนด้วย
ในปี 2554 การลงทุนหลักๆยังคงเป็นกลุ่มซีอาร์ซี (เซ็นทรัลรีเทลคอปอเรชั่น) และซีพีเอ็น (เซ็นทรัลพัฒนา) เช่น โครงการใหม่เซ็นทรัลแอมบาสซี่, การขยายศูนย์การค้าที่เชียงราย พิษณุโลก พระรามเก้า สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ การปรับปรุงครั้งใหญ่เซ็นทรัลลาดพร้าว ห้างเซน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลอุดรธานี หรือการลงทุนโครงการใหม่เช่น เชียงราย พิษณุโลก พระรามเก้า บางแค
การศึกษาลงทุนเพิ่มเติมในจีน มีแผนรับบริหารจัดการโรงแรมในประเทศอีก 10 แห่ง นอกนั้นก็เป็นการขยายสาขาและธุรกิจของกลุ่มอื่นๆ ส่วนต่างประเทศทั้งกลุ่มก็ยังศึกษาอยู่ เช่น ซีพีเอ็น ศึกษาที่จีน อินเดีย เวียดนาม ซีอาร์ซี จะลงทุนเพิ่มที่จีนอีก
สำหรับปี 2553 ทั้งกลุ่มมีรายได้รวมที่ 119,000 ล้านบาท มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 118,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8% ขณะที่งบลงทุนตั้งไว้ถึง 16,000 ล้านบาท แต่ใช้จริงเพียงแค่ 12,700 ล้านบาท เพราะเหตุการณ์วิกฤติทางการเมือง และการเลื่อนปรับปรุงสาขาลาดพร้าวจากปีที่แล้วจะเริ่มกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายปริญ จิราธิวัฒน์ ซีเอฟโอ กล่าวว่า บริษัทฯสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้มากถึง 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถนำไปใช้ทั้งลงทุนและควบรวมกิจการได้ตามแผนลงทุน และส่งผลให้เติบโตได้ 10% ต่อปี แต่ถ้าหากลงทุนเองจะเติบโตแค่ 7% ต่อปีเท่านั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาที่จะเทคโอเวอร์หรือควบรวมกิจการกว่า 10 ราย มีดีลประมาณ 1,000-10,000 ล้านบาท
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลได้ตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องกิจการวิกฤต หรือ Crisis Management Board ขึ้นเป็นการถาวรแล้ว โดยมี พลเอก พิศณุ อุไรเลิศ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ส่วนกรรมการทั้งชุดเป็นคนนอกตระกูลเซ็นทรัลทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยตั้งมาแล้วเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจเท่านั้น โดยมีหน้าที่บริหารจัดการดูแลเรื่องปัญหาวิกฤติต่างๆ ทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัยพ์สิน บุคคลากรและการประสานงานต่างๆ
“ปี 2553 มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิกฤตครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยประสบการณ์ของเรา ความสามัคคีของบริษัท ผู้บริหาร พนักงาน และลูกค้าที่สนับสนุนทำให้เรายังคงดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์หลักที่พร้อมจะนำบทเรียนที่สำคัญนี้มาปรับใช้”
โดยภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวส่งผลดีต่อการลงทุน แม้ว่าภาวะทางการเมืองและสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศจะยังคงดำเนินอยู่ แต่ด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการขึ้นค่าแรง จะช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ช่วยให้เกิดการขยายตัวของผู้บริโภค
สำหรับทิศทางการลงทุนปี 2554 ของกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งเป้าหมายงบลงทุนรวม 20,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 133,500 ล้านบาท เติบโต 12% จากปี 2553 ด้วยยุทธศาสตร์ “ดำเนินการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตร ควบกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม”
ทั้งนี้ แนวทางการเติบโตหลักจะมาจาก 1.การควบรวมกิจการ ซึ่งจะมีงบประมาณต่างหากแยกจากงบลงทุนปีนี้ แต่จะเน้นในธุรกิจที่เรามีความชำนาญและเกี่ยวเนื่อง ส่วนอะไรที่ไม่เกี่ยวไม่มีประสบการณ์ก็ไม่ทำ เช่น เรื่อง3จี 2.การมุ่งสร้างคุณค่าทางธุรกิจ เช่นการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ด้วยการเปิดชอปปิ้งออนไลน์ และการขายตรง 3.การพัฒนาและขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ จะลงทุนต่อเนื่องและลงทุนธุรกิจในจีนด้วย
ในปี 2554 การลงทุนหลักๆยังคงเป็นกลุ่มซีอาร์ซี (เซ็นทรัลรีเทลคอปอเรชั่น) และซีพีเอ็น (เซ็นทรัลพัฒนา) เช่น โครงการใหม่เซ็นทรัลแอมบาสซี่, การขยายศูนย์การค้าที่เชียงราย พิษณุโลก พระรามเก้า สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ การปรับปรุงครั้งใหญ่เซ็นทรัลลาดพร้าว ห้างเซน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลอุดรธานี หรือการลงทุนโครงการใหม่เช่น เชียงราย พิษณุโลก พระรามเก้า บางแค
การศึกษาลงทุนเพิ่มเติมในจีน มีแผนรับบริหารจัดการโรงแรมในประเทศอีก 10 แห่ง นอกนั้นก็เป็นการขยายสาขาและธุรกิจของกลุ่มอื่นๆ ส่วนต่างประเทศทั้งกลุ่มก็ยังศึกษาอยู่ เช่น ซีพีเอ็น ศึกษาที่จีน อินเดีย เวียดนาม ซีอาร์ซี จะลงทุนเพิ่มที่จีนอีก
สำหรับปี 2553 ทั้งกลุ่มมีรายได้รวมที่ 119,000 ล้านบาท มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 118,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8% ขณะที่งบลงทุนตั้งไว้ถึง 16,000 ล้านบาท แต่ใช้จริงเพียงแค่ 12,700 ล้านบาท เพราะเหตุการณ์วิกฤติทางการเมือง และการเลื่อนปรับปรุงสาขาลาดพร้าวจากปีที่แล้วจะเริ่มกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายปริญ จิราธิวัฒน์ ซีเอฟโอ กล่าวว่า บริษัทฯสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้มากถึง 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถนำไปใช้ทั้งลงทุนและควบรวมกิจการได้ตามแผนลงทุน และส่งผลให้เติบโตได้ 10% ต่อปี แต่ถ้าหากลงทุนเองจะเติบโตแค่ 7% ต่อปีเท่านั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาที่จะเทคโอเวอร์หรือควบรวมกิจการกว่า 10 ราย มีดีลประมาณ 1,000-10,000 ล้านบาท