บิ๊กบอสเครือ"ดุสิต" ชี้ธุรกิจโรงแรมปีนี้รุ่ง 2 เดือนแรกอัตราเข้าพักโต ต่างชาติเริ่มชินการเมืองไทย พร้อมฉะนักการเมืองตัวถ่วงความเจริญประเทศ ระบุข้อเรียกร้องเสื้อแดงไร้สาระ "ยุบสภา"ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แนะควรยุติความขัดแย้งโดยเร็ว ให้ท่องเที่ยวได้ฟื้นตัวบ้าง
นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ธุรกิจโรงแรมในปีนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตจากปีก่อนราว 10-15% หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีความรุนแรง เพราะปัจจุบันมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งกันภายในประเทศจึงไม่รู้สึกวิตกกังวลกับภาพเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เพราะเห็นแล้วว่าเป็นการชุมนุมกันในพื้นที่เฉพาะ ไม่ได้มีเหตุรุกลามหรือรุนแรง แต่ยังห่วงเรื่องของการปาระเบิดที่เริ่มมีให้เห็นเป็นรายวัน ว่าอาจส่งผลกระทบกับความกังวลของนักท่องเที่ยวบ้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นเป้าหมาย
ในส่วนของโรงแรมในเครือดุสิตธานี 2 เดือนแรกของปีนี้ มีสัญาณที่เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เริ่มมาชะลอในช่วงของการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง ทำให้ ยอดพักในเดือนมี.ค.นี้ลดลงไปราว 10% แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวที่หายไปสูงสุดเป็นกลุ่ม อินเซนทีฟ และ กรุ๊ปประชุมสัมมนา ซึ่งยกเลิกไปแล้วในเดือนมี.ค.นี้ 4กลุ่ม คิดเป็นจำนวนรวม 1,000 คน สูญเสียรายได้ ราว 10 ล้านบาท ขณะที่ภาคนักท่องเที่ยวทั่วไปมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ซึ่งภาคเอกชนยังหวังว่าให้ความขัดแย้งหรือความวุ่นวายทางการเมืองได้ข้อยุติ และจบลงโดยเร็ว เพื่อให้โอกาสแก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวได้ฟื้นตัวบ้าง
“โดยส่วนตัวเห็นว่า หารที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภานั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเพราะเชื่อว่าวิธีดังกล่าวไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร เพราะหากยุบสภาแล้ว ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เมื่องเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ฝ่ายที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็คงต้องออกมาชุมนุมอีก ไม่รู้จักจบสิ้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายคุยกันด้วยเหตุและผลโดยมีผลประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม เพราะตอนนี้เชื่อว่าคนไทยต้องการความสงบสุข หากไม่มีนักการเมืองประเทศคงจะดีมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมานักการเมืองคือกลุ่มที่ถ่วงความเจริญของประเทศ
นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ธุรกิจโรงแรมในปีนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตจากปีก่อนราว 10-15% หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีความรุนแรง เพราะปัจจุบันมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งกันภายในประเทศจึงไม่รู้สึกวิตกกังวลกับภาพเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เพราะเห็นแล้วว่าเป็นการชุมนุมกันในพื้นที่เฉพาะ ไม่ได้มีเหตุรุกลามหรือรุนแรง แต่ยังห่วงเรื่องของการปาระเบิดที่เริ่มมีให้เห็นเป็นรายวัน ว่าอาจส่งผลกระทบกับความกังวลของนักท่องเที่ยวบ้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นเป้าหมาย
ในส่วนของโรงแรมในเครือดุสิตธานี 2 เดือนแรกของปีนี้ มีสัญาณที่เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เริ่มมาชะลอในช่วงของการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง ทำให้ ยอดพักในเดือนมี.ค.นี้ลดลงไปราว 10% แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวที่หายไปสูงสุดเป็นกลุ่ม อินเซนทีฟ และ กรุ๊ปประชุมสัมมนา ซึ่งยกเลิกไปแล้วในเดือนมี.ค.นี้ 4กลุ่ม คิดเป็นจำนวนรวม 1,000 คน สูญเสียรายได้ ราว 10 ล้านบาท ขณะที่ภาคนักท่องเที่ยวทั่วไปมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ซึ่งภาคเอกชนยังหวังว่าให้ความขัดแย้งหรือความวุ่นวายทางการเมืองได้ข้อยุติ และจบลงโดยเร็ว เพื่อให้โอกาสแก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวได้ฟื้นตัวบ้าง
“โดยส่วนตัวเห็นว่า หารที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภานั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเพราะเชื่อว่าวิธีดังกล่าวไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร เพราะหากยุบสภาแล้ว ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เมื่องเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ฝ่ายที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็คงต้องออกมาชุมนุมอีก ไม่รู้จักจบสิ้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายคุยกันด้วยเหตุและผลโดยมีผลประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม เพราะตอนนี้เชื่อว่าคนไทยต้องการความสงบสุข หากไม่มีนักการเมืองประเทศคงจะดีมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมานักการเมืองคือกลุ่มที่ถ่วงความเจริญของประเทศ