โบรกฯบ้านใหม่ เผย ตลาดรับบริหารการขายแข็งดุ บริษัทบริหารการขายหั่นค่าฟรีแย่งลูกค้า ด้านโบรกบ้านมือสองยอมรับตลาดบ้านมือสองต่ำกว่า 1 ล้าน ย่านชานเมืองสะอึก หลังบีโอไอ ปรับเกณฑ์ข้อบังคับหนุน หนุนบ้านใหม่กลายเป็นคู่แข่งหลัก
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีการยืดอายุมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่มาตรการดังกล่าวจะหมดอายุลงในวันที่ 26 มี.ค.53 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อและการตัดสินใจซื้อของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวอย่างมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเริ่มฟื้นตัว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายที่อยู่ระหว่างพิจารณาเลือกบริษัท ตัวแทนนายหน้าอสังหาฯมาช่วยดำเนินการขาย โดยพยายามจะต่อรองค่าฟรี (ค่าคอมมิชชัน) จากการขาย ซึ่งตามปกติจะได้อยู่ที่ประมาณ 3% ของมูลค่าการขาย ซึ่งตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาตัวแทนหน้าอสังหาฯก็ต้องพยายามลดราคาลง บางรายยอมลดลงเหลือ 2% และบางรายลดราคาเหลือ 0.8% ต่อการเข้าไปบริหารการขาย 1 โครงการ เพื่อแย่งงานบริหารโครงการให้เข้ามาอยู่ในมือมากที่สุด
โดยในปีนี้บริษัทได้งานบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการแวนเทจ ของบริษัท อีสเทริน์สตาร์, โครงการโมเว่นพีค โฮลเต็ล เรสซิเด้นท์ ถ.พญาไท ประกอบด้วย โรงแรมและคอนโดมิเนียม มูลค่าการขาย 2,800 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวในเดือน พ.ค.ปีนี้ เลื่อนมาจากเดือน มี.ค.ปีนี้, การเข้าไปรับบริหารการขายพื้นที่ของบริษัท ไทยแฟคตอรี ดีเวลลอปเม้นท์ จำนวน 300 ไร่ และอีก 1 โครงการจะเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่บนเนื้อที่ 2 ไร่ บริเวณ ถ.ราชดำริ ที่จะเริ่มเปิดการขายในต้นปี 2554 (ไม่ใช่ที่สถานทูตกัมพูชาของบริษัท ไรมอนแลนด์) ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีโครงการเก่าในมือที่อยู่ระหว่างการขาย 4 โครงการ โดยในปีนี้คาดว่าจะมียอดขาย 1,500-2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายอดขาย ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้าน นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หลังจากที่รัฐปรับเกณฑ์บ้านบีโอไอให้ จึงทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากสนใจเข้ามาลงทุนโครงการใหม่ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ เนื่องจากได้ประโยชน์ทางด้านภาษี จึงทำให้ทาวน์เฮาส์-คอนโดมิเนียม ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อยูนิต ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น และจะเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญกับตลาดบ้านมือสองที่อยู่ชานเมือง ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อยูนิต เนื่องจากมีราคาขายที่ใกล้เคียงกัน
“หลังจากที่รัฐผ่อนผันเกณฑ์พิจารณาโครงการบ้านบีโอไอ จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ ราย ทั้งรายใหญ่ที่อยู่ในตลาด รายกลาง รายเล็ก สนใจเข้ามาขอยื่นรับการส่งเสริมด้านการลงทุนเป็นจำนวนมาก ย่อมจะมีผลกระทบกับตลาดบ้านมือสองทั้ง ใน กทม.โดยเฉพาะบ้านมือสองในย่านชานเมือง ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม ก็เชื่อว่า ตลาดบ้านมือสอง ยังคงมึความคึกคักเนื่องจาก บรรษัท บริหารสินทรัพย์ไทย หรือ (บสท.) จะปิดตัวลง ในเดือน มิ.ย.54 เนื่องจากเป็นไปตามของกำหนดของกฎหมาย หลังจากตั้งมาครบ 10 ปี อีกทั้งอสังหาฯมือสองที่อยู่ในมือสถาบันการเงินหลายแห่ง และบริษัทตัวแทนนายหน้า บ้านมือสองก็ยังมีทรัพย์อยู่จำนวนมาก ที่จะเข้ามาเป็นตัวแข่งขันกับตลาดบ้านใหม่ได้ เนื่องจากบ้านมือสองส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างดีกว่าบ้านมือหนึ่ง
“ผลกระทบจากการต่อมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกไปไม่มีผลกระทบในช่วงนี้ เพราะได้ประโยชน์จากมาตรการอยู่แล้ว ขณะที่บุคคลที่ถือครองบ้านเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งมาตรการดังกล่าวที่มีการยืดอายุออกไปอีก2เดือนนั้นจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาฯโดยรวมมากกว่าเกิดผลเสียต่อตลาด”
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีการยืดอายุมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่มาตรการดังกล่าวจะหมดอายุลงในวันที่ 26 มี.ค.53 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อและการตัดสินใจซื้อของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวอย่างมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเริ่มฟื้นตัว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายที่อยู่ระหว่างพิจารณาเลือกบริษัท ตัวแทนนายหน้าอสังหาฯมาช่วยดำเนินการขาย โดยพยายามจะต่อรองค่าฟรี (ค่าคอมมิชชัน) จากการขาย ซึ่งตามปกติจะได้อยู่ที่ประมาณ 3% ของมูลค่าการขาย ซึ่งตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาตัวแทนหน้าอสังหาฯก็ต้องพยายามลดราคาลง บางรายยอมลดลงเหลือ 2% และบางรายลดราคาเหลือ 0.8% ต่อการเข้าไปบริหารการขาย 1 โครงการ เพื่อแย่งงานบริหารโครงการให้เข้ามาอยู่ในมือมากที่สุด
โดยในปีนี้บริษัทได้งานบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการแวนเทจ ของบริษัท อีสเทริน์สตาร์, โครงการโมเว่นพีค โฮลเต็ล เรสซิเด้นท์ ถ.พญาไท ประกอบด้วย โรงแรมและคอนโดมิเนียม มูลค่าการขาย 2,800 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวในเดือน พ.ค.ปีนี้ เลื่อนมาจากเดือน มี.ค.ปีนี้, การเข้าไปรับบริหารการขายพื้นที่ของบริษัท ไทยแฟคตอรี ดีเวลลอปเม้นท์ จำนวน 300 ไร่ และอีก 1 โครงการจะเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่บนเนื้อที่ 2 ไร่ บริเวณ ถ.ราชดำริ ที่จะเริ่มเปิดการขายในต้นปี 2554 (ไม่ใช่ที่สถานทูตกัมพูชาของบริษัท ไรมอนแลนด์) ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีโครงการเก่าในมือที่อยู่ระหว่างการขาย 4 โครงการ โดยในปีนี้คาดว่าจะมียอดขาย 1,500-2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายอดขาย ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้าน นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หลังจากที่รัฐปรับเกณฑ์บ้านบีโอไอให้ จึงทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากสนใจเข้ามาลงทุนโครงการใหม่ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ เนื่องจากได้ประโยชน์ทางด้านภาษี จึงทำให้ทาวน์เฮาส์-คอนโดมิเนียม ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อยูนิต ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น และจะเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญกับตลาดบ้านมือสองที่อยู่ชานเมือง ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อยูนิต เนื่องจากมีราคาขายที่ใกล้เคียงกัน
“หลังจากที่รัฐผ่อนผันเกณฑ์พิจารณาโครงการบ้านบีโอไอ จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ ราย ทั้งรายใหญ่ที่อยู่ในตลาด รายกลาง รายเล็ก สนใจเข้ามาขอยื่นรับการส่งเสริมด้านการลงทุนเป็นจำนวนมาก ย่อมจะมีผลกระทบกับตลาดบ้านมือสองทั้ง ใน กทม.โดยเฉพาะบ้านมือสองในย่านชานเมือง ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม ก็เชื่อว่า ตลาดบ้านมือสอง ยังคงมึความคึกคักเนื่องจาก บรรษัท บริหารสินทรัพย์ไทย หรือ (บสท.) จะปิดตัวลง ในเดือน มิ.ย.54 เนื่องจากเป็นไปตามของกำหนดของกฎหมาย หลังจากตั้งมาครบ 10 ปี อีกทั้งอสังหาฯมือสองที่อยู่ในมือสถาบันการเงินหลายแห่ง และบริษัทตัวแทนนายหน้า บ้านมือสองก็ยังมีทรัพย์อยู่จำนวนมาก ที่จะเข้ามาเป็นตัวแข่งขันกับตลาดบ้านใหม่ได้ เนื่องจากบ้านมือสองส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างดีกว่าบ้านมือหนึ่ง
“ผลกระทบจากการต่อมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกไปไม่มีผลกระทบในช่วงนี้ เพราะได้ประโยชน์จากมาตรการอยู่แล้ว ขณะที่บุคคลที่ถือครองบ้านเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งมาตรการดังกล่าวที่มีการยืดอายุออกไปอีก2เดือนนั้นจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาฯโดยรวมมากกว่าเกิดผลเสียต่อตลาด”