กกร.ห่วงเศรษฐกิจพัง หลังเสื้อแดงตั้งเป้าชุมนุมใหญ่กดดันรัฐบาลยุบสภา ชี้ไร้เหตุผลสิ้นดี หลังต่างชาติเริ่มเชื่อมั่น ทั้งการลงทุนและกระบวนการยุติธรรม แต่คนไทยกลับพูดกันไม่รู้เรื่อง บ้านเมืองล่มจมแน่ หากสังคมไม่มีกติกา แพ้ไม่เป็น
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการทำหน้าที่เป็นประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วานนี้ (2มี.ค.) ว่า กกร.มีความเป็นห่วงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นัดชุมนุมใหญ่ 14 มี.ค.นี้ ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการยุบสภา เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไม่มีเหตุผลเพียงพอและต้องย้อนถามว่าทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร มีแต่ผลเสียต่อประเทศชาติ เพราะรัฐบาลปัจจุบันได้บริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว
“เศรษฐกิจไทยอาจล่มจมแน่ หากสังคมไทยไม่มีกติกา หรือไม่รู้จักคำว่าแพ้ เนื่องจากคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย มีความชัดเจน โปร่งใส การกระทำที่ไม่ถูกต้องมีการอธิบายไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมและเป็นธรรมอย่างแท้จริง เมื่อได้มีการหารือกับนักลงทุนต่างชาติพบว่านักลงทุนเหล่านี้ กลับเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของไทยมากขึ้น แต่คนไทยที่พูดภาษาไทยทำไมไม่เข้าใจและไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว”นายดุสิตกล่าว
นายดุสิตกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ต่างชาติก็เริ่มเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีมาบตาพุดที่เริ่มมีทิศทางที่ดี โอกาสเศรษฐกิจไทยจะเข้มเข้มได้โดยไม่ต้องทำอะไรน่าจะโตได้ระดับ 3-5% แต่หากจะโตได้ต่ำ ก็เพราะคนไทยขัดแข้งขัดขากันเอง ดังนั้นการเดินทางไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นที่นำโดยนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง จะถือโอกาสชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหามาบตาพุดในช่วง12-15มี.ค. ก็ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะกรอบกติกาต่างๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้นแล้ว แต่หากมีปัญหาการเมืองมาซ้ำเติมก็คงจะลำบากในการที่จะชี้แจงให้เข้าใจ
“ตอนนี้สังคมไทยก็เปรียบเหมือนกีฬา ถ้าเราแพ้แล้วต้องหันมาดูตนเองว่าผิดพลาดอะไร แต่ไม่ใช่ไม่ยอมแพ้ ทุกอย่างต้องมีกติกา หากทุกคนอยากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ไม่มองคนอื่น ไม่มองภาพรวม ชาติก็อยู่ไม่ได้ เราควรห่วงลูกหลานมากกว่าห่วงตนเอง เพราะที่ผ่านมา เราบอบช้ำมามากแล้ว เราทำไปเพื่อประโยชน์ของคนไม่กี่คน เวลานี้ดูมาเลเซีย เวียดนามเขาไปถึงไหนแล้ว กลับมาดูที่ไทยแล้วน่าสมเพช หากมีแต่คนช่วยกันทำลายมากๆ เข้า คงอยู่ไม่ได้”นายดุสิตกล่าว
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กรณีการระเบิดสาขาย่อยธนาคารกรุงเทพยอมรับว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจพนักงานบ้าง แต่ด้านตัวเงินไม่มีผลกระทบอะไร ซึ่งขณะนี้สถาบันการเงินต่างๆ มีมาตรการในการเข้มงวดมากขึ้นแล้ว แต่คงเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ประกอบกับที่ผ่านมา มีการปรับตัวรองรับทั้งในเรื่องปัญหาภาคใต้ การชุมนุมจึงทำให้ระบบความปลอดภัยมีการปรับตัวไปแล้วระดับหนึ่งจึงมั่นใจได้
“ต้องการให้สังคมไทยแยกแยะระหว่างความชอบออกจากเหตุผล เพราะคำพิพากษาคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการลำดับเหตุผลอย่างชัดเจน ก่อนหน้าผู้ถูกกล่าวหาสามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้ เมื่อพิพากษาแล้ว ควรจะเคารพกติกา หากไม่เคารพบ้านเมืองก็จะไม่มีขื่อไม่มีแป ประเทศชาติคงจะอยู่ไม่ได้ในที่สุด และการชุมนุมใหญ่ควรมีเหตุผลหากนำไปสู่ความรุนแรงเชื่อว่าสังคมไทยภาพรวมไม่สนับสนุนแน่นอน”นายธวัชชัยกล่าว
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการทำหน้าที่เป็นประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วานนี้ (2มี.ค.) ว่า กกร.มีความเป็นห่วงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นัดชุมนุมใหญ่ 14 มี.ค.นี้ ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการยุบสภา เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไม่มีเหตุผลเพียงพอและต้องย้อนถามว่าทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร มีแต่ผลเสียต่อประเทศชาติ เพราะรัฐบาลปัจจุบันได้บริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว
“เศรษฐกิจไทยอาจล่มจมแน่ หากสังคมไทยไม่มีกติกา หรือไม่รู้จักคำว่าแพ้ เนื่องจากคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย มีความชัดเจน โปร่งใส การกระทำที่ไม่ถูกต้องมีการอธิบายไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมและเป็นธรรมอย่างแท้จริง เมื่อได้มีการหารือกับนักลงทุนต่างชาติพบว่านักลงทุนเหล่านี้ กลับเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของไทยมากขึ้น แต่คนไทยที่พูดภาษาไทยทำไมไม่เข้าใจและไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว”นายดุสิตกล่าว
นายดุสิตกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ต่างชาติก็เริ่มเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีมาบตาพุดที่เริ่มมีทิศทางที่ดี โอกาสเศรษฐกิจไทยจะเข้มเข้มได้โดยไม่ต้องทำอะไรน่าจะโตได้ระดับ 3-5% แต่หากจะโตได้ต่ำ ก็เพราะคนไทยขัดแข้งขัดขากันเอง ดังนั้นการเดินทางไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นที่นำโดยนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง จะถือโอกาสชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหามาบตาพุดในช่วง12-15มี.ค. ก็ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะกรอบกติกาต่างๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้นแล้ว แต่หากมีปัญหาการเมืองมาซ้ำเติมก็คงจะลำบากในการที่จะชี้แจงให้เข้าใจ
“ตอนนี้สังคมไทยก็เปรียบเหมือนกีฬา ถ้าเราแพ้แล้วต้องหันมาดูตนเองว่าผิดพลาดอะไร แต่ไม่ใช่ไม่ยอมแพ้ ทุกอย่างต้องมีกติกา หากทุกคนอยากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ไม่มองคนอื่น ไม่มองภาพรวม ชาติก็อยู่ไม่ได้ เราควรห่วงลูกหลานมากกว่าห่วงตนเอง เพราะที่ผ่านมา เราบอบช้ำมามากแล้ว เราทำไปเพื่อประโยชน์ของคนไม่กี่คน เวลานี้ดูมาเลเซีย เวียดนามเขาไปถึงไหนแล้ว กลับมาดูที่ไทยแล้วน่าสมเพช หากมีแต่คนช่วยกันทำลายมากๆ เข้า คงอยู่ไม่ได้”นายดุสิตกล่าว
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กรณีการระเบิดสาขาย่อยธนาคารกรุงเทพยอมรับว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจพนักงานบ้าง แต่ด้านตัวเงินไม่มีผลกระทบอะไร ซึ่งขณะนี้สถาบันการเงินต่างๆ มีมาตรการในการเข้มงวดมากขึ้นแล้ว แต่คงเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ ประกอบกับที่ผ่านมา มีการปรับตัวรองรับทั้งในเรื่องปัญหาภาคใต้ การชุมนุมจึงทำให้ระบบความปลอดภัยมีการปรับตัวไปแล้วระดับหนึ่งจึงมั่นใจได้
“ต้องการให้สังคมไทยแยกแยะระหว่างความชอบออกจากเหตุผล เพราะคำพิพากษาคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการลำดับเหตุผลอย่างชัดเจน ก่อนหน้าผู้ถูกกล่าวหาสามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้ เมื่อพิพากษาแล้ว ควรจะเคารพกติกา หากไม่เคารพบ้านเมืองก็จะไม่มีขื่อไม่มีแป ประเทศชาติคงจะอยู่ไม่ได้ในที่สุด และการชุมนุมใหญ่ควรมีเหตุผลหากนำไปสู่ความรุนแรงเชื่อว่าสังคมไทยภาพรวมไม่สนับสนุนแน่นอน”นายธวัชชัยกล่าว
