ไทยเบฟฯ ชู 3ยุทธศาตร์ ขยายอาณาจักรน้ำเมาไทย รับมืออาฟต้าสมรภูมิเหล้าแข่งเดือด อัดกลยุทธ์พรีเมียมไมซ์เซชั่น เดินเกมรบเหล้าครบพอร์ตโฟลิโอยึดหัวหาดตลาดล่างยันบน สกัดคู่แข่งทะลักเข้าไทย – สยายปีกโกอินเตอร์ เร่งแตกไลน์เหล้าสู่ระดับบน 5 ปี คลอดสินค้า 5 ตัวเจาะกลุ่มกระเป๋าหนัก ปลายปีนำเข้าสก็อตวิสกี้ลุย นำร่องปั้นเมอริเดียนขย่มบัลลังก์รีเจนซี่ เจาะคนรุ่นใหม่ ตั้งเป้า 5 ปี สอยแชร์ 50%
นายวิโรจน์ จันทรโมลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเหล้าสี เหล้าขาว เปิดเผยว่า บริษัทได้วางยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้ 3 แนวทางหลัก คือ 1.การทำพรีเมียมไมซ์เซชั่น หรือการขยายไลน์สินค้าเหล้าสู่ตลาดระดับบน เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้ากลุ่มแมสที่แข็งแกร่งแล้ว จากการเป็นผู้นำเหล้าระดับล่าง ในตลาดเหล้าขาว เหล้าสี และเหล้าสมุนไพร มูลค่า 5.5-6 หมื่นล้านบาท โดยภาวะตลาดมีอัตราการเติบโตเพียง 3-5% ต่อปีมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เหล้าระดับพรีเมียมสามารถสร้างมูลค่ามากกว่า แต่บริษัทยังไม่มีสินค้าในพอร์ตโฟลิโอ การแตกไลน์สินค้าพรีเมียมทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับการแข่งขันการเปิดเสรีการค้าอาเซียนและเอฟทีเอ
“ตลาดเหล้าระดับล่าง โดยมากกลุ่มเป้าหมายมีกำลังการซื้อไม่มากนัก และยังได้รับผลกระทบหากภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเติบโตตามผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือหากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ยอดขายเหล้าก็จะได้รับผลกระทบตามมาด้วย อย่างปีนี้แม้ว่าสินค้าเกษตรราคาดี แต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดภัยแล้ง”
***แตกเหล้าสู่ตลาดพรีเมียม5ปี**
สำหรับแผนการตลาดบริษัทวางแผนแตกไลน์เหล้าในระดับพรีเมียม 1 ปี อย่างน้อย 1 ตัว เพื่อสู่เป้าหมาย 5 ปี สัดส่วนรายได้กลุ่มเหล้าระดับพรีเมียมเพิ่มเป็น 25-30% และที่เหลือ 70-75% เป็นเหล้าระดับล่าง โดยปลายปีนี้นำเข้าสก็อตวิสกี้ระดับบน จากบริษัทอินเวอร์เฮาส์ ผู้ผลิตวิสกี้จากสก๊อตแลนด์ ซึ่งไทยเบฟฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ นอกจากนี้ยังสนใจทำตลาดไวท์สปิริต
ล่าสุดงบลงทุนเครื่องจักรใหม่ 100 ล้านบาท ที่โรงงานยูไนเต็ดไวน์เนอรี่ จ.นครปฐม แตกไลน์เหล้าสู่ระดับบนในตลาดบรั่นดี ภายใต้แบรนด์”เมอริเดียน” ซึ่งเป็นเหล้าตัวแรกภายใต้กลยุทธ์พรีเมียมไมซ์เซชั่น จากที่ผ่านมาเหล้าในไทยเบฟฯ มีราคาประมาณกว่า 200 บาท แต่เมอริเดียน ขนาด 700 มล. ราคา 450 บาท และขนาด 350 มล.ราคา 229 บาท ซึ่งเป็นการวางราคาสินค้าใกล้เคียงกับรีเจนซี่ผู้นำตลาด
***สยายปีกตปท.บุกอาเซียนรับอาฟต้า***
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ไทยเบฟฯ ทุ่มงบการตลาดกลุ่มเหล้าโดยรวม 400 ล้านบาท เพื่อต้องการสร้างรากฐานกลุ่มเหล้าจากระดับล่างสู่ระดับบนให้แข็งแกร่ง และสู่เป้าหมายขยายตลาดต่างประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ อินเตอร์เนชันแนลไลเซชั่น โดยเฉพาะการขยายตลาดส่งออกในอาเซียน หลังจากเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนส่งผลให้ภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง 0%จากปัจจุบันบริษัทส่งออกเพียง 3-4%
โดยจะสร้างแบรนด์และสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับกับคู่แข่งที่จะเข้ามาทำตลาดมากขึ้น และเป้าหมายการขยายตลาดต่างประเทศของบริษัท สำหรับเมอริเดียนวางแผน 3 ปี ส่งออกตลาดต่างประเทศ ส่วนยุทธศาสตร์ ที่ 3 คือ โกลเบิ้ลไลเซชั่น หรือการมีการบริหารงานอย่างมืออาชีพระดับโลก เพื่อปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
***ปั้นเมอริเดียน5ปีขย่มรีเจนซี่***
นายวิโรจน์ กล่าวต่อถึงกลยุทธ์การตลาด เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งจากผู้นำตลาดรีเจนซี่ ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดแบบเบ็ดเสร็จหรือ 100% จากตลาดบรั่นดีมูลค่า 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น บรั่นดีไทย 90% หรือ 8,100 ล้านบาท และบรั่นดีนำเข้า 10% มูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีตลาดมีอัตราการเติบโต 5-10% โดยบริษัทใช้ความแข็งแกร่งด้านการกระจายสินค้าช่องทางเทรดิชันนัลเทรดครอบคลุม 3.5 แสนแห่ง
มุ่งเน้นตลาดต่างจังหวัดสัดส่วน 65% และกรุงเทพฯ 35% นำร่องจัดกิจกรรมร้านอาหาร 16 จังหวัด จำนวน 200 แห่ง เนื่องจากพฤติกรรมผู้ดื่มบรั่นดีจะนิยมดื่มในร้านอาหารมากกว่า ผับ บาร์ อีกทั้งได้ทุ่มงบการตลาด 100 ล้านบาท เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างภายใต้แนวคิดมองให้ไกลไปให้ถึง (journey of discover) โดยวางกลุ่มเป้าหมายอายุ 25-35 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่หันมาทดลองสินค้าใหม่ได้ง่าย ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูง จากปัจจุบันฐานลูกค้ารีเจนซี่มีอายุตั้งแต่ 25-60 ปีขึ้นไป
สำหรับเป้าหมายปีแรกมีส่วนแบ่ง 10% จากตลาด 9,000 ล้านบาท และคาดว่าอีก 5 ปี ใช้งบร่วม 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มส่วนแบ่ง 50% ส่วนรายได้รวมกลุ่มเหล้าของบริษัท 5.5-6 หมื่นล้านบาท ปีนี้เติบโต 3-5%
นายวิโรจน์ จันทรโมลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเหล้าสี เหล้าขาว เปิดเผยว่า บริษัทได้วางยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้ 3 แนวทางหลัก คือ 1.การทำพรีเมียมไมซ์เซชั่น หรือการขยายไลน์สินค้าเหล้าสู่ตลาดระดับบน เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้ากลุ่มแมสที่แข็งแกร่งแล้ว จากการเป็นผู้นำเหล้าระดับล่าง ในตลาดเหล้าขาว เหล้าสี และเหล้าสมุนไพร มูลค่า 5.5-6 หมื่นล้านบาท โดยภาวะตลาดมีอัตราการเติบโตเพียง 3-5% ต่อปีมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เหล้าระดับพรีเมียมสามารถสร้างมูลค่ามากกว่า แต่บริษัทยังไม่มีสินค้าในพอร์ตโฟลิโอ การแตกไลน์สินค้าพรีเมียมทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับการแข่งขันการเปิดเสรีการค้าอาเซียนและเอฟทีเอ
“ตลาดเหล้าระดับล่าง โดยมากกลุ่มเป้าหมายมีกำลังการซื้อไม่มากนัก และยังได้รับผลกระทบหากภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเติบโตตามผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือหากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ยอดขายเหล้าก็จะได้รับผลกระทบตามมาด้วย อย่างปีนี้แม้ว่าสินค้าเกษตรราคาดี แต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดภัยแล้ง”
***แตกเหล้าสู่ตลาดพรีเมียม5ปี**
สำหรับแผนการตลาดบริษัทวางแผนแตกไลน์เหล้าในระดับพรีเมียม 1 ปี อย่างน้อย 1 ตัว เพื่อสู่เป้าหมาย 5 ปี สัดส่วนรายได้กลุ่มเหล้าระดับพรีเมียมเพิ่มเป็น 25-30% และที่เหลือ 70-75% เป็นเหล้าระดับล่าง โดยปลายปีนี้นำเข้าสก็อตวิสกี้ระดับบน จากบริษัทอินเวอร์เฮาส์ ผู้ผลิตวิสกี้จากสก๊อตแลนด์ ซึ่งไทยเบฟฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ นอกจากนี้ยังสนใจทำตลาดไวท์สปิริต
ล่าสุดงบลงทุนเครื่องจักรใหม่ 100 ล้านบาท ที่โรงงานยูไนเต็ดไวน์เนอรี่ จ.นครปฐม แตกไลน์เหล้าสู่ระดับบนในตลาดบรั่นดี ภายใต้แบรนด์”เมอริเดียน” ซึ่งเป็นเหล้าตัวแรกภายใต้กลยุทธ์พรีเมียมไมซ์เซชั่น จากที่ผ่านมาเหล้าในไทยเบฟฯ มีราคาประมาณกว่า 200 บาท แต่เมอริเดียน ขนาด 700 มล. ราคา 450 บาท และขนาด 350 มล.ราคา 229 บาท ซึ่งเป็นการวางราคาสินค้าใกล้เคียงกับรีเจนซี่ผู้นำตลาด
***สยายปีกตปท.บุกอาเซียนรับอาฟต้า***
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ไทยเบฟฯ ทุ่มงบการตลาดกลุ่มเหล้าโดยรวม 400 ล้านบาท เพื่อต้องการสร้างรากฐานกลุ่มเหล้าจากระดับล่างสู่ระดับบนให้แข็งแกร่ง และสู่เป้าหมายขยายตลาดต่างประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ อินเตอร์เนชันแนลไลเซชั่น โดยเฉพาะการขยายตลาดส่งออกในอาเซียน หลังจากเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนส่งผลให้ภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง 0%จากปัจจุบันบริษัทส่งออกเพียง 3-4%
โดยจะสร้างแบรนด์และสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับกับคู่แข่งที่จะเข้ามาทำตลาดมากขึ้น และเป้าหมายการขยายตลาดต่างประเทศของบริษัท สำหรับเมอริเดียนวางแผน 3 ปี ส่งออกตลาดต่างประเทศ ส่วนยุทธศาสตร์ ที่ 3 คือ โกลเบิ้ลไลเซชั่น หรือการมีการบริหารงานอย่างมืออาชีพระดับโลก เพื่อปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
***ปั้นเมอริเดียน5ปีขย่มรีเจนซี่***
นายวิโรจน์ กล่าวต่อถึงกลยุทธ์การตลาด เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งจากผู้นำตลาดรีเจนซี่ ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดแบบเบ็ดเสร็จหรือ 100% จากตลาดบรั่นดีมูลค่า 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น บรั่นดีไทย 90% หรือ 8,100 ล้านบาท และบรั่นดีนำเข้า 10% มูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีตลาดมีอัตราการเติบโต 5-10% โดยบริษัทใช้ความแข็งแกร่งด้านการกระจายสินค้าช่องทางเทรดิชันนัลเทรดครอบคลุม 3.5 แสนแห่ง
มุ่งเน้นตลาดต่างจังหวัดสัดส่วน 65% และกรุงเทพฯ 35% นำร่องจัดกิจกรรมร้านอาหาร 16 จังหวัด จำนวน 200 แห่ง เนื่องจากพฤติกรรมผู้ดื่มบรั่นดีจะนิยมดื่มในร้านอาหารมากกว่า ผับ บาร์ อีกทั้งได้ทุ่มงบการตลาด 100 ล้านบาท เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างภายใต้แนวคิดมองให้ไกลไปให้ถึง (journey of discover) โดยวางกลุ่มเป้าหมายอายุ 25-35 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่หันมาทดลองสินค้าใหม่ได้ง่าย ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูง จากปัจจุบันฐานลูกค้ารีเจนซี่มีอายุตั้งแต่ 25-60 ปีขึ้นไป
สำหรับเป้าหมายปีแรกมีส่วนแบ่ง 10% จากตลาด 9,000 ล้านบาท และคาดว่าอีก 5 ปี ใช้งบร่วม 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มส่วนแบ่ง 50% ส่วนรายได้รวมกลุ่มเหล้าของบริษัท 5.5-6 หมื่นล้านบาท ปีนี้เติบโต 3-5%