ธปท.แจงนโยบายการเงินปี 53 ต้องหาจุดสมดุล ทั้งการดูแลเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจฟื้นตัว มองเวียดนามลดค่าเงินด่อง กระทบต่อไทยในวงจำกัด เพราะเงินเฟ้อเวียดนามในเดือน ม.ค.53 สูงกว่าไทยถึง 3% สะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ส่วนจะมีผลกระทบถึงราคาสินค้าเกษตรหรือไม่ คงต้องพิจารณาต้นทุนทั้งหมด
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางในการดำเนินนโยบายการเงินในปี 2553 แบงก์ชาติจะต้องพยายามหาความสมดุลระหว่างการดูแลอัตราเงินเฟ้อ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาให้ความสำคัญเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่แล้ว โดยขณะนี้เศรษฐกิจอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ต้องดูความต่อเนื่องของการฟื้นตัวเศรษฐกิจในช่วงต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นแต่ค่าเฉลี่ยทั้งปีน่าจะยังอยู่ในกรอบ 0.5-3.0% ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหาความสมดุล ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้นโยบายเช่นนี้ต่อเนื่อง
ส่วนนโยบายการคลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวเข้มแข็ง การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย จึงมีความจำเป็นน้อยลง ต่อจากนี้ไป การรักษาวินัยทางการคลังถือเป็นเรื่องสำคัญ
ส่วนการที่ธนาคารกลางเวียดนามประกาศลดค่าเงินด่องลงอีก 3.4% ในวันนี้ รองผู้ว่าการ ธปท. เชื่อว่า ผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยน่าจะอยู่ในวงจำกัด เพราะเป็นนโยบายการเงินภายในประเทศของเวียดนามที่ใช้ต่อเนื่องมาจากปี 2552 ซึ่งมีการลดค่าเงินไปแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าจำนวนมาก
นอกจากนั้น หากเปรียบเทียบในแง่ของอัตราเงินเฟ้อของไทยและเวียดนามนั้น อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามในเดือนมกราคม 2553 อยู่ที่ 7.1% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับ 4.1% แสดงให้เห็นว่าต้นทุนการผลิตสินค้าของเวียดนามสูงกว่าไทย ส่วนจะมีผลกระทบถึงราคาสินค้าเกษตรหรือไม่ ก็คงต้องพิจารณาต้นทุนทั้งหมดก่อน