xs
xsm
sm
md
lg

SCBเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ฝันดันสินเชื่อโต2เท่าจีดีพี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ไทยพาณิชย์" เปิดแผนปี 53 ลั่นดันสินเชื่อโตเป็น 2 เท่าของจีดีพีที่ 7-10% เน้นปล่อยกู้รายใหญ่ตั้งเป้าโต 11-14% ยันกรณีปัญหามาบตาพุดจิ๊บจ๊อย พร้อมเข็นบริษัทในเครือ "บล.-บลจ." เร่งขยายธุรกิจเพิ่มรายได้ และคุมเอ็นพีแอลให้อยู่ไม่เกิน 3.9%

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายเติบโตสินเชื่อรวมเป็น 2 เท่าของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ระหว่าง 3.5-4.5% หรือคิดเป็นการเติบโตอยู่ที่ 7-10% ซึ่งจะมีเม็ดเงินปล่อยใหม่ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท จากปี 2552 ที่สินเชื่อรวมเติบโต 2.5% โดยฐานสินเชื่อในปัจจุบันอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท อีกทั้งตั้งเป้าหมายมีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอีก 17%ด้วย

ทั้งนี้ การเติบโตสินเชื่อของธนาคารจะมาจากกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ที่ตั้งเป้าหมายเติบโต 11-14% จากสิ้นปี 2552 ที่สินเชื่อดังกล่าวมีการเติบโต 9.4% ส่งผลให้ฐานสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 3.1-3.2 แสนล้านบาท โดยธนาคารจะเน้นสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร (Total Solution) เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในการปล่อยสินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงินและองค์กรอื่น ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตั้งเป้าหมายเติบโต 4-7% จากปีที่แล้วสินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบ 7% ซึ่งในปีนี้จะให้ความสำคัญกับการบุกตลาดและลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็กที่มียอดขายต่ำกว่า 1 พันล้านบาท

ขณะที่ด้านสินเชื่อรายย่อยตั้งเป้าหมายเติบโต 6-10% จากปีที่แล้วเติบโต 3.7% โดยจะเน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่จะมียอดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นสุทธิ 8,000 - 10,000 ล้านบาท โดยจะใช้กลยุทธการปล่อยสินเชื่อผ่านเครือข่ายสาขาที่ธนาคารมีอยู่ทั่วประเทศ และสินเชื่อเคหะอย่างต่อเนื่องซึ่งจะร่วมมือกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในการให้สินเชื่อ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยของธนาคารอยู่ที่ 40% ของสินเชื่อรวม

นางกรรณิกา ยังกล่าวเพิ่มเติม ถึงการตั้งเป้าหมายสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับภาคการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชะลอลงทุนในมาบตาพุดว่า มองว่าลูกค้าขนาดใหญ่ของธนาคารจะขยายตัวไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผู้ประกอบการหลายรายได้ยืนยันการลงทุนดังกล่าวแล้ว ประกอบกับเป็นโครงการที่มีการบริหารงานดี ดังนั้นในด้านของสินเชื่อระดับดังกล่าวน่าจะทำได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ขณะเดียวกันสินเชื่อที่ปล่อยให้กับโครงการในมาบตาพุดไม่ได้มีจำนวนมากนักเป็นวงเงินประมาณ 2 พันล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น ปัญหาดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดการปล่อยสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ของธนาคาร

นอกจากนี้ ในธนาคารก็จะให้ความสำคัญกับการเติบโตของกลุ่มบริษัทในเครืออย่าง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์อีกด้วย โดยบลจ.ไทยพาณิชย์จะเน้นสร้างช่องทางการขายใหม่ไปพร้อมกับการสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนระยะยาวและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ส่วนทางด้าน บล.ไทยพาณิชย์จะเน้นการซื้อขายหุ้นที่จะส่งผลให้มีการเติบโตรายได้ค่านายหน้าค้าหุ้นจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน

**คุมเอ็นพีแอลไม่เกิน3.9%

ส่วนด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ธนาคารตั้งเป้าหมายควบคุมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3.9% ในสิ้นปีนี้ เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 4.4% โดยแนวทางการในการควบคุมเอ็นพีแอลมีด้วยกัน 2 แนวทางด้วยกันคือ 1.ดูแลลูกค้าของธนาคารให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดเป็นเอ็นพีแอล แต่หากในกรณีที่เกิดเป็นเอ็นพีแอลธนาคารก็จะเข้าไปเจรจากับลูกค้าเพื่อแก้ปัญหา 2. การขายเอ็นพีแอลออกไป โดยธนาคารพร้อมพิจารณาหากมีโอกาสภายหลังจากที่ปีก่อนธนาคารขายเอ็นพีแอลออกไปแล้วมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท

นอกจากเป้าหมายหลักในการสร้างการเติบโตของธุรกิจแล้ว ธนาคารยังต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น พัฒนาความเชี่ยวชาญและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เพื่อประกอบการตัดสินใจที่ดีขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น บริหารความเสี่ยงตามแนวทางหลักเกณฑ์ Basel II และจัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนถึงการปรับปรุงแบรนด์ให้ก้าวนำไปข้างหน้า เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว

"การปรับภาพลักษณ์ของธนาคารในครั้งนี้ เพื่อให้แบรนด์ SCB มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น และทำให้แบรนด์ดูสดชื่นขึ้น โดยสร้างจากจุดเด่นของไทยพาณิชย์ โดยเฉพาะตราสัญลักษณ์รูปใบโพธิ์ และสีม่วง โดยธนาคารจะมีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ของสาขา หน้าจอตู้เอทีเอ็ม และเครื่องแบบพนักงาน ซึ่งลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดูสดชื่นขึ้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ไม่ได้เป็นการปรับเปลี่ยนในส่วนของรูปลักษณ์องค์กรภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องดำเนินการในส่วนของการปลูกฝังทัศนคติและวิธีการทำงานของพนักงานให้สอดคล้องกับแบรนด์ด้วย เพื่อให้ธนาคารเป็น “ธนาคารที่ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคมเลือก (The Bank of Choice)” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ พร้อมให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร (The Premier Universal Bank in Thailand) แก่ลูกค้าทุกกลุ่มที่มีความต้องการบริการทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมกัน ตามสโลแกนใหม่ของธนาคาร “ไปด้วยกัน ไปได้ไกล"นางกรรณิกา กล่าว

นางกรรณิกา ยังกล่าวถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 1.25% และจากนั้นดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.25% หรือขึ้นสูงสุดที่ 0.50% ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะมีการปรับที่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแต่จะปรับขึ้นต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากครึ่งหนึ่ง

**ชี้มูดี้ส์ปรับมุมมองแบงก์เป็นเรื่องดี

ส่วนกรณีที่มูดี้ส์ปรับเพิ่มอันดับเครดิตสถาบันการเงินไทยจากติดลบเป็นมีเสถียรภาพว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดี แสดงถึงการมีมุมมองในเชิงบวกจากสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ว่าการจัดอันดับของมูดี้ส์จะเป็นเช่นไร ระบบธุรกิจสถาบันการเงินของไทยยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น