ซีพี ออลล์ อัดงบลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ผุดเซเว่น อีเลฟเว่นครบ 7,000 สาขา ภายใน 3 ปี ลั่นปีนี้สยายปีก 500 สาขา รับเศรษฐกิจไทยปีขาลฟื้น เอื้ออารมณ์จับจ่ายซื้อสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม จ่อคิวขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อแดนมังกร พร้อมลุยธุรกิจค้าปลีกอินเดีย รัสเซีย เวียดนาม ขานรับนโยบายเจ้าสัวธนินทร์บุกค้าปลีก-อาหาร
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้ดำเนินกิจการร้านสะดวกเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัททุ่มงบ 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น 500 สาขา หรือเปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 5 สาขาใน 3 วัน และภายใน 3 ปี จะขยายสาขาเพิ่มจาก 5,300 สาขา เป็น 7,000 สาขา หรือขยายเพิ่มโดยเฉลี่ยปีละ 500 สาขา ภายใต้การใช้งบลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท โดยวางคอนเซปต์เป็นร้านอิ่มสะดวก มุ่งเน้นสินค้ากลุ่มอาหารสัดส่วน 70% และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น
พร้อมกันนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างวางแผนขยายร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศจีน ซึ่งขณะนี้ต้องรอดูการแบ่งเขตพื้นที่การดำเนินธุรกิจ จากปัจจุบันมีด้วยกัน 3 เขต ได้แก่ กวางตุ้ง ,ปักกิ่ง ญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น เซี่ยงไฮ้ เป็นของประเทศไต้หวัน และคาดว่าหากมีการแบ่งเขตเกิดขึ้นประเทศไทยน่าจะได้รับสิทธิ์ในการบริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศจีน อย่างแน่นอน
ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของนายธนินท์ เจียรวรนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ให้สำคัญการลงทุนธุรกิจค้าปลีกและอาหาร เป็นหลัก ในประเทศจีน เวียดนาม อินเดีย รัสเซีย ซึ่งหากประเทศไทยเริ่มอิ่มตัว จะเริ่มขยายการลงทุนในจีน เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก และยังวางแผนลงทุนค้าปลีกในอินเดีย รัสเซีย และเวียดนาม
สำหรับในประเทศไทยปีนี้ได้ทุ่มงบอีก 800 ล้านบาท ลงทุนเปิดศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคเพิ่มอีก 2 แห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
“สูตรการทำธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพี คือ กำไรน้อยขายมาก เท่ากับกำไรมาก ซึ่งร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ได้นำมาปรับใช้ เพื่อให้สินค้าภายในชั้นวางหมุนเวียนได้เร็วมากขึ้น”
นายก่อศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการของประชากรทั่วประเทศมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ผลประกอบในช่วง 9 เดือน ของปี 2552 มีรายได้ 83,817 ล้านบาท เติบโต 16.8% และมีกำไรสุทธิ 3,682 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาส 4 คาดว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้ดำเนินกิจการร้านสะดวกเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัททุ่มงบ 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น 500 สาขา หรือเปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 5 สาขาใน 3 วัน และภายใน 3 ปี จะขยายสาขาเพิ่มจาก 5,300 สาขา เป็น 7,000 สาขา หรือขยายเพิ่มโดยเฉลี่ยปีละ 500 สาขา ภายใต้การใช้งบลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท โดยวางคอนเซปต์เป็นร้านอิ่มสะดวก มุ่งเน้นสินค้ากลุ่มอาหารสัดส่วน 70% และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น
พร้อมกันนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างวางแผนขยายร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศจีน ซึ่งขณะนี้ต้องรอดูการแบ่งเขตพื้นที่การดำเนินธุรกิจ จากปัจจุบันมีด้วยกัน 3 เขต ได้แก่ กวางตุ้ง ,ปักกิ่ง ญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น เซี่ยงไฮ้ เป็นของประเทศไต้หวัน และคาดว่าหากมีการแบ่งเขตเกิดขึ้นประเทศไทยน่าจะได้รับสิทธิ์ในการบริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศจีน อย่างแน่นอน
ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของนายธนินท์ เจียรวรนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ให้สำคัญการลงทุนธุรกิจค้าปลีกและอาหาร เป็นหลัก ในประเทศจีน เวียดนาม อินเดีย รัสเซีย ซึ่งหากประเทศไทยเริ่มอิ่มตัว จะเริ่มขยายการลงทุนในจีน เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก และยังวางแผนลงทุนค้าปลีกในอินเดีย รัสเซีย และเวียดนาม
สำหรับในประเทศไทยปีนี้ได้ทุ่มงบอีก 800 ล้านบาท ลงทุนเปิดศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคเพิ่มอีก 2 แห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
“สูตรการทำธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพี คือ กำไรน้อยขายมาก เท่ากับกำไรมาก ซึ่งร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ได้นำมาปรับใช้ เพื่อให้สินค้าภายในชั้นวางหมุนเวียนได้เร็วมากขึ้น”
นายก่อศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการของประชากรทั่วประเทศมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ผลประกอบในช่วง 9 เดือน ของปี 2552 มีรายได้ 83,817 ล้านบาท เติบโต 16.8% และมีกำไรสุทธิ 3,682 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 สำหรับผลการดำเนินการในไตรมาส 4 คาดว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง