“ออฟฟิศเมท” เปิดเกมรุก อี-คอมเมิร์ซ ชูเว็บ เทรนด์ดี้เดย์ดอทคอม ขยายฐานกลุ่มโฮมยูส หวังปลุกตลาดระบบออนไลน์ มั่นใจปีนี้เติบโต 25%
นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด ผู้จำหน่ายอุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเขียน ผ่านระบบแค็ตตาล็อกและอินเทอร์เน็ต เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้บริษัทฯมีแผนที่จะรุกตลาดในช่องทางออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซเต็มที่ด้วยการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.trendyday.com ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วแต่ยังไม่ได้ทำตลาดจริงจัง โดยใช้กลยุทธ์ “สั่งซื้อเพียง 499 บาท รับบริการส่งฟรีทั่วไทย” เพื่อเป็นการขยายฐานตลาดสู่กลุ่มโฮมยูสด้วย จากเดิมทำแต่กลุ่มองค์กรเอกชนและภาครัฐเท่านั้น
ทั้งนี้บริษัทฯเชื่อว่าช่องทางใหม่ดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้รายได้รวมในปี 2553 นี้เติบโต 20-25% เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำรายได้เกือบ 1,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1,100 ล้านบาท หรือตกลง 6% เพราะว่าเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ว่ามีผลกำไรเพิ่มขึ้น 45% เพราะการปรับระบบภายในองค์กรใหม่ แบ่งยอดขายออกเป็นกลุ่มเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน 51% กลุ่มคอมพิวเตอร์ และออฟฟิศออโต้เมนชั่น 33% กลุ่มแคนทีน อุปกรณ์โรงงานและออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์ 16% ซึ่งสัดส่วนรายได้มาจาก ภาคเอกชน 88% และภาครัฐ 12% ขณะที่ปี 2553 นี้ วางสัดส่วนรายได้ไว้ที่ ภาครัฐ 15% และภาคเอกชน 85% (ซึ่งในนี้จะมีส่วนที่เป็นรายได้จากช่อวงทางเทรนด์ดี้เดย์ดอทคอมประมาณ 70 ล้านบาท หรือ 5% จากสัดส่วนของเอกชน)
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยเมื่อปีที่แล้วจากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามีประมาณ 600,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2551 ประมาณ 50% ขณะที่คนไทยมีการเล่นอินเทอร์เน็ตประมาณ 15 ล้านคน แต่มีประมาณ 400,000 กว่ารายเท่านั้นที่กล้าสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ขณะที่เกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกา มีมากมายซึ่งตรงนี้มองว่ายังมีช่องว่างที่จะรุกตลาดอีคอมเมิร์ซไอ้อีกมาก หากสามารถทำให้เป็นระบบและน่าเชื่อถือได้ รวมทั้งสร้างความสะดวกให้กับผู้บริโภคด้วย โดยเฉพาะช่องทาง ซีทูซีหรือ ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภคกับ บีทูซี คือ ธุรกิจกับผู้บริโภค จะมีการเติบโตอย่างมาก
บริษัทฯได้ตั้งงบการตลาดปีนี้ไว้ที่ 40 ล้านบาทเท่ากับปีที่แล้ว แต่ปีนี้จะเน้นทางด้านการทำกิจกรรมช่องทางออนไลน์มากกว่า 55% เช่นกลยุทธ์เอฟวรี่เอทมาร์เก็ตติ้ง คือการให้ค่านายหน้ากับคนที่สมัครเป็นโบรกเกอร์การขายผ่านเว็บของบริษัทฯ และงบกิจกรรมด้านออฟไลน์ 45% ส่วนรายการสินค่าผ่านทางเทรนด์ดี้ดอทคอมนั้นมีประมาณ 20,000 รายการ
ขณะที่ออฟฟิศเมทแค็ตตาล็อกมีประมาณ 10,000 รายการ ซึ่งสินค้าที่ขายต่ำกว่าที่อื่นหรือในค้าปลีก 10-15% เพราะไม่ต้องเสียค่าหน้าร้าน ค่าจัดวาง การตลาด เป็นต้น รวมทั้งจะขยายสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ล่าสุดในเดือนหน้าจะมีสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
“ผมมั่นใจว่าออฟฟิศเมทและเว็บเทรนด์ดี้เดย์ดอทคอมจะเป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเล่นและที่เกี่ยวเนื่อง รายใหญ่ทีสุดที่มีสินค้าจำหน่ายมากที่สุด และส่งถึงมือลูกค้าได้เร็ว โดยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนต่างจังหวัดประมาณ 48 ชั่วโมง เพราะเรามีรถของเราเองกว่า 80 คัน และมของซัปพลายเออร์อีกจาก 3 รายใหญ่คือ รัตนพิธาน,อินเตอร์ลอจิสติสก์และไปรษณีย์ไทย รวมกว่า 2,000 คันทั่วประเทศ ที่มารับสินค้าจากคลังแห่งเดียวคือที่ ลาดกระบังพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร แล้วกระจายสู่ลูกค้า ซึ่งหากอนาคตขยายตัวมากเตรียมเพิ่มพื้นที่คล้งสินค้าอีก 7,000 ตารางเมตร ลงทุนกว่า 400 ล้านบาทหากใช้หุ่นยนต์ แต่ถ้าไม่ใช่หุ่นยนต์ช่วยผลิตจะลงทุน 200 ล้านบาท “ นายวรวุฒิกล่าว
นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด ผู้จำหน่ายอุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเขียน ผ่านระบบแค็ตตาล็อกและอินเทอร์เน็ต เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้บริษัทฯมีแผนที่จะรุกตลาดในช่องทางออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซเต็มที่ด้วยการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.trendyday.com ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วแต่ยังไม่ได้ทำตลาดจริงจัง โดยใช้กลยุทธ์ “สั่งซื้อเพียง 499 บาท รับบริการส่งฟรีทั่วไทย” เพื่อเป็นการขยายฐานตลาดสู่กลุ่มโฮมยูสด้วย จากเดิมทำแต่กลุ่มองค์กรเอกชนและภาครัฐเท่านั้น
ทั้งนี้บริษัทฯเชื่อว่าช่องทางใหม่ดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้รายได้รวมในปี 2553 นี้เติบโต 20-25% เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำรายได้เกือบ 1,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1,100 ล้านบาท หรือตกลง 6% เพราะว่าเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ว่ามีผลกำไรเพิ่มขึ้น 45% เพราะการปรับระบบภายในองค์กรใหม่ แบ่งยอดขายออกเป็นกลุ่มเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน 51% กลุ่มคอมพิวเตอร์ และออฟฟิศออโต้เมนชั่น 33% กลุ่มแคนทีน อุปกรณ์โรงงานและออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์ 16% ซึ่งสัดส่วนรายได้มาจาก ภาคเอกชน 88% และภาครัฐ 12% ขณะที่ปี 2553 นี้ วางสัดส่วนรายได้ไว้ที่ ภาครัฐ 15% และภาคเอกชน 85% (ซึ่งในนี้จะมีส่วนที่เป็นรายได้จากช่อวงทางเทรนด์ดี้เดย์ดอทคอมประมาณ 70 ล้านบาท หรือ 5% จากสัดส่วนของเอกชน)
นายวรวุฒิกล่าวต่อว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยเมื่อปีที่แล้วจากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่ามีประมาณ 600,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2551 ประมาณ 50% ขณะที่คนไทยมีการเล่นอินเทอร์เน็ตประมาณ 15 ล้านคน แต่มีประมาณ 400,000 กว่ารายเท่านั้นที่กล้าสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ขณะที่เกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกา มีมากมายซึ่งตรงนี้มองว่ายังมีช่องว่างที่จะรุกตลาดอีคอมเมิร์ซไอ้อีกมาก หากสามารถทำให้เป็นระบบและน่าเชื่อถือได้ รวมทั้งสร้างความสะดวกให้กับผู้บริโภคด้วย โดยเฉพาะช่องทาง ซีทูซีหรือ ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภคกับ บีทูซี คือ ธุรกิจกับผู้บริโภค จะมีการเติบโตอย่างมาก
บริษัทฯได้ตั้งงบการตลาดปีนี้ไว้ที่ 40 ล้านบาทเท่ากับปีที่แล้ว แต่ปีนี้จะเน้นทางด้านการทำกิจกรรมช่องทางออนไลน์มากกว่า 55% เช่นกลยุทธ์เอฟวรี่เอทมาร์เก็ตติ้ง คือการให้ค่านายหน้ากับคนที่สมัครเป็นโบรกเกอร์การขายผ่านเว็บของบริษัทฯ และงบกิจกรรมด้านออฟไลน์ 45% ส่วนรายการสินค่าผ่านทางเทรนด์ดี้ดอทคอมนั้นมีประมาณ 20,000 รายการ
ขณะที่ออฟฟิศเมทแค็ตตาล็อกมีประมาณ 10,000 รายการ ซึ่งสินค้าที่ขายต่ำกว่าที่อื่นหรือในค้าปลีก 10-15% เพราะไม่ต้องเสียค่าหน้าร้าน ค่าจัดวาง การตลาด เป็นต้น รวมทั้งจะขยายสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ล่าสุดในเดือนหน้าจะมีสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
“ผมมั่นใจว่าออฟฟิศเมทและเว็บเทรนด์ดี้เดย์ดอทคอมจะเป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเล่นและที่เกี่ยวเนื่อง รายใหญ่ทีสุดที่มีสินค้าจำหน่ายมากที่สุด และส่งถึงมือลูกค้าได้เร็ว โดยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนต่างจังหวัดประมาณ 48 ชั่วโมง เพราะเรามีรถของเราเองกว่า 80 คัน และมของซัปพลายเออร์อีกจาก 3 รายใหญ่คือ รัตนพิธาน,อินเตอร์ลอจิสติสก์และไปรษณีย์ไทย รวมกว่า 2,000 คันทั่วประเทศ ที่มารับสินค้าจากคลังแห่งเดียวคือที่ ลาดกระบังพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร แล้วกระจายสู่ลูกค้า ซึ่งหากอนาคตขยายตัวมากเตรียมเพิ่มพื้นที่คล้งสินค้าอีก 7,000 ตารางเมตร ลงทุนกว่า 400 ล้านบาทหากใช้หุ่นยนต์ แต่ถ้าไม่ใช่หุ่นยนต์ช่วยผลิตจะลงทุน 200 ล้านบาท “ นายวรวุฒิกล่าว
