ทิปโก้ฟูดส์ เร่งสร้างแบรนด์ทัพเครื่องดื่ม-ซันโตรี่แข็งแกร่ง สานนโยบายเปิดตลาดสู่ริจินัล พร้อมรับศึกตลาดอาหารและเครื่องดื่มแข่งเดือดปี 2555 หลังอีก 2 ปี ผลการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน ภาษีนำเข้าเหลือ 0% หวั่นเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว กระทบสินค้าแห่ทำตลาดรับอาฟต้าไม่คึกคัก ชี้เทรนด์เครื่องดื่มตลาดอาเซียนน้ำผลไม้ ชา-กาแฟพร้อมดื่ม ฟังก์ชันนัลดริงก์ บูม
นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล รองประธานและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ดาการะ เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดปีหน้าของบริษัท วางแผนขยายตลาดอาเซียนในเชิงรุกมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สินค้าของบริษัทให้มีความแข็งแกรงในระยะ 2-3 ปีนี้ รองรับกับการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า ซึ่งจะมีผลทำให้ภาษีนำเข้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลงเหลือ 0% ในปี 2555 จากปัจจุบันยังต้องเสียภาษีนำเข้า 5-10% แต่จะทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องใน 2 ปีนี้ โดยจะมีเครื่องดื่มเพียงบางรายการเท่านั้นที่ภาษีนำเข้าลดลงเหลือ 0% ในวันที่ 1 มกราคม 2553 อาทิ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“ในอนาคตเป้าหมายการทำตลาดของบริษัท คือ ขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาค เพราะบริษัทมีผลิตภัณฑ์มากมาย อีกทั้งประเทศไทยเองเป็นเสมือนศูนย์กลางของอาเซียน มีความได้เปรียบด้านระบบลอจิสติกส์ ซึ่งถือว่าเรามีความได้เปรียบการมีทำเลที่เหมาะสมกับการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดอาเซียน”
สำหรับภาพรวมธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเซียน แม้ว่าปีหน้านี้ผลจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน จะส่งผลให้มีสินค้าเข้ามาทำตลาดในแต่ละประเทศมากขึ้น แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก กำลังการซื้อของผู้บริโภคในอาเซียนก็ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นการแข่งขันจะยังไม่มีความรุนแรงมากนัก คาดว่าทิศทางการแข่งขันจะรุนแรงในปี 2555 หรือในปีที่ภาษีนำเข้าอาหารและเครื่องดื่มลดลง 0% แต่ในปีหน้านี้การทำตลาดของผู้ประกอบการต่างประเทศ มุ่งเน้นการเปิดตัวสินค้าและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากกว่า และคาดว่าจะมีสินค้าแบรนด์ระดับโลกทะลักเข้ามาทำตลาดในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น
“ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวในปีหน้านี้ นับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับสินค้าที่จะเข้ามาทำตลาดจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย อย่างไรก็ตามมองว่าแบรนด์ที่จะเข้ามาทำตลาด ต้องเร่งสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และต้องมีความได้เปรียบต้นทุนการผลิตที่ต่ำ” นายวิวัฒน์ กล่าว
แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มที่เป็นเทรนด์มาแรงในตลาดอาเซียน คือ เครื่องดื่มชา กาแฟพร้อมดื่ม ตลาดน้ำผลไม้ และล่าสุดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ ซึ่งเทรนด์เครื่องดื่มในประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ พฤติกรรมของผู้บริโภคมีคล้ายคลึงและไม่แตกต่างกันมากนัก สำหรับคู่แข่งในตลาดอาเซียน ประกอบด้วย บริษัทซานมิเกล ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มและอาหารในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทอินโดฟู้ดส์ จากประเทศอินโดนีเซีย บริษัทเอฟแอนด์เอ็น เป็นต้น
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทได้ส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องดื่มธัญญาหารเนเจอร์อัพ น้ำแร่ออร่าไปในภูมิภาคอาเซียน ส่วนเครื่องดื่มจากบริษัทซันโตรี่ อาทิ เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ภายใต้แบรนด์ดารากะ กาแฟหรือชาพร้อมดื่ม กลุ่มน้ำผสมวิตามิน และอื่นๆ บริษัทจะเน้นสร้างรากฐานกลุ่มสินค้าของซันโตรี่ให้มีความแข็งแกร่งในประเทศไทยก่อน จากนั้นจะพิจารณาถึงความพร้อมของตลาดในแต่ละประเทศในอาเซียน ทั้งนี้การร่วมทุนระหว่างทิปโก้กับซันโตรี่ เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 และวางเป้าหมายร่วมกันขยายตลาดในอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม
สำหรับผลประกอบการปีนี้ของบริษัท 5,000 ล้านบาท ไม่มีอัตราการเติบโต เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันบริษัททิปโก้ ฟูดส์ มีสัดส่วนการส่งออก 50% และภายในประเทศ 50% ซึ่งปีนี้การส่งออกสินค้าไปตลาดอาเซียน มีอัตราการเติบโต 30-40% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นกลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ น้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องดื่มธัญญาหารเนเจอร์อัพ น้ำแร่ออร่า มีสัดส่วนรายได้ 7% ที่เหลืออีก 90% เป็นกลุ่มผลไม้เป็นหลัก และคาดว่าปีหน้านี้รายได้ตลาดอาเซียนมีอัตราการเติบโต 30-40%
นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล รองประธานและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ดาการะ เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดปีหน้าของบริษัท วางแผนขยายตลาดอาเซียนในเชิงรุกมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สินค้าของบริษัทให้มีความแข็งแกรงในระยะ 2-3 ปีนี้ รองรับกับการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนหรืออาฟต้า ซึ่งจะมีผลทำให้ภาษีนำเข้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลงเหลือ 0% ในปี 2555 จากปัจจุบันยังต้องเสียภาษีนำเข้า 5-10% แต่จะทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องใน 2 ปีนี้ โดยจะมีเครื่องดื่มเพียงบางรายการเท่านั้นที่ภาษีนำเข้าลดลงเหลือ 0% ในวันที่ 1 มกราคม 2553 อาทิ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“ในอนาคตเป้าหมายการทำตลาดของบริษัท คือ ขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาค เพราะบริษัทมีผลิตภัณฑ์มากมาย อีกทั้งประเทศไทยเองเป็นเสมือนศูนย์กลางของอาเซียน มีความได้เปรียบด้านระบบลอจิสติกส์ ซึ่งถือว่าเรามีความได้เปรียบการมีทำเลที่เหมาะสมกับการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดอาเซียน”
สำหรับภาพรวมธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเซียน แม้ว่าปีหน้านี้ผลจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน จะส่งผลให้มีสินค้าเข้ามาทำตลาดในแต่ละประเทศมากขึ้น แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก กำลังการซื้อของผู้บริโภคในอาเซียนก็ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นการแข่งขันจะยังไม่มีความรุนแรงมากนัก คาดว่าทิศทางการแข่งขันจะรุนแรงในปี 2555 หรือในปีที่ภาษีนำเข้าอาหารและเครื่องดื่มลดลง 0% แต่ในปีหน้านี้การทำตลาดของผู้ประกอบการต่างประเทศ มุ่งเน้นการเปิดตัวสินค้าและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากกว่า และคาดว่าจะมีสินค้าแบรนด์ระดับโลกทะลักเข้ามาทำตลาดในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น
“ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวในปีหน้านี้ นับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับสินค้าที่จะเข้ามาทำตลาดจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย อย่างไรก็ตามมองว่าแบรนด์ที่จะเข้ามาทำตลาด ต้องเร่งสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และต้องมีความได้เปรียบต้นทุนการผลิตที่ต่ำ” นายวิวัฒน์ กล่าว
แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มที่เป็นเทรนด์มาแรงในตลาดอาเซียน คือ เครื่องดื่มชา กาแฟพร้อมดื่ม ตลาดน้ำผลไม้ และล่าสุดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ ซึ่งเทรนด์เครื่องดื่มในประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ พฤติกรรมของผู้บริโภคมีคล้ายคลึงและไม่แตกต่างกันมากนัก สำหรับคู่แข่งในตลาดอาเซียน ประกอบด้วย บริษัทซานมิเกล ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มและอาหารในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทอินโดฟู้ดส์ จากประเทศอินโดนีเซีย บริษัทเอฟแอนด์เอ็น เป็นต้น
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทได้ส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องดื่มธัญญาหารเนเจอร์อัพ น้ำแร่ออร่าไปในภูมิภาคอาเซียน ส่วนเครื่องดื่มจากบริษัทซันโตรี่ อาทิ เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ภายใต้แบรนด์ดารากะ กาแฟหรือชาพร้อมดื่ม กลุ่มน้ำผสมวิตามิน และอื่นๆ บริษัทจะเน้นสร้างรากฐานกลุ่มสินค้าของซันโตรี่ให้มีความแข็งแกร่งในประเทศไทยก่อน จากนั้นจะพิจารณาถึงความพร้อมของตลาดในแต่ละประเทศในอาเซียน ทั้งนี้การร่วมทุนระหว่างทิปโก้กับซันโตรี่ เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 และวางเป้าหมายร่วมกันขยายตลาดในอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม
สำหรับผลประกอบการปีนี้ของบริษัท 5,000 ล้านบาท ไม่มีอัตราการเติบโต เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันบริษัททิปโก้ ฟูดส์ มีสัดส่วนการส่งออก 50% และภายในประเทศ 50% ซึ่งปีนี้การส่งออกสินค้าไปตลาดอาเซียน มีอัตราการเติบโต 30-40% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นกลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ น้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องดื่มธัญญาหารเนเจอร์อัพ น้ำแร่ออร่า มีสัดส่วนรายได้ 7% ที่เหลืออีก 90% เป็นกลุ่มผลไม้เป็นหลัก และคาดว่าปีหน้านี้รายได้ตลาดอาเซียนมีอัตราการเติบโต 30-40%