ทัพเครื่องดื่มไทย-ต่างประเทศแห่ลุยตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ รับตลาดปีหน้าบูมมูลค่าพุ่ง 5,000 ล้านบาท เครื่องดื่มแดนปลาดิบสบช่องกำแพงภาษีอาฟต้าเหลือ 0% สินค้า 2 แบรนด์จ่อลงตลาด ด้านค่ายน้ำอัดลมร่วมสมรภูมิ “อะมิโน พลัส” เท 100 ล้านบาท รีลอนช์ครั้งใหญ่รอบ 5 ปี ปลุกกระแสกรดอะมิโนติดตลาด เดินเกมสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเครื่องดื่มช็อตลุย ปีหน้ากวาดแชร์ 30% ไล่บี้บัลลังก์บิวติ ดริ้งค์
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์อะมิโน พลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ในปีหน้านี้คาดว่ามีมูลค่า 4,000-5,000ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโต 300-400% จากสิ้นปีนี้มีมูลค่าตลาด 2,000ล้านบาท โดยการเติบโตเป็นในทิศทางเดียวกับตลาดชาเขียว ซึ่งปีหน้านี้จะมีผู้ประกอบการเปิดตัวเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ 5-6 ราย คาดว่ามีผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาด 2 ราย เนื่องจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน มีผลทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องดื่มลดลงเหลือ 0% นอกจากนี้กลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมสนใจเข้ามาทำตลาดด้วยเช่นเดียวกัน
ล่าสุดบริษัทได้มีการรีลอนช์อะมิโน โอเค ครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี โดยได้ปรับภาพลักษณ์อะมิโน โอเค มาเป็นอะมิโน พลัส พร้อมกับเพิ่มกรดอะมิโนจำเป็นจาก 5 ชนิดเป็น 7 ชนิด และมีส่วนผสมอื่นๆ ที่ให้ประโยชน์ตอบสนองความต้องการแต่ละไลฟ์สไตล์ ได้แก่ อะมิโน โอเค พลัส ชาร์จ เพิ่มพลังและความสดชื่น อะมิโน พลัส เบิร์น เพื่อตอบสนองรูปร่างได้สัดส่วน และอะมิโน พลัส ไบร์ทเทนน์ เพื่อผิวกระจ่างใส นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวอะมิโน พลัส ช็อต เครื่องดื่มผสมสารอาหารในรูปแบบช็อต ซึ่งจะเป็นเครื่องดื่มที่เข้ามาเสริมภาพลักษณ์อะมิโนฟังก์ชันนัลดริงก์ให้มีความแข็งแกร่ง
นายตัน กล่าวว่า ฟังก์ชันนัลดริงก์ในรูปแบบเครื่องดื่มพร้อมดื่มมีสัดส่วน 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 60% ในปีนี้มีการเติบโตมากกว่า 100% ใกล้เคียงกับฟังก์ชันนัลดริงก์ในรูปแบบช็อตมูลค่า 800 ล้านบาท หรือสัดส่วนราว 40% อย่างไรก็ตามคาดว่า ปีหน้านี้ฟังก์ชันนัลดริงก์พร้อมดื่ม ตลาดจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกและดื่มได้ง่ายกว่า ส่วนในรูปแบบช็อต ค่อนข้างมีราคาสูง โดยอะมิโน พลัส ช็อต ราคา 30 บาท และพฤติกรรมการดื่มของกลุ่มเป้าหมายมีความคาดหวังกับผลที่จะได้รับมากกว่าฟังก์ชันนัลดริงก์พร้อมดื่ม อย่างไรก็ตามแม้พฤติกรรมของผู้บริโภคต้องการดื่มเพื่อสุขภาพและตอบสนองไลฟ์สไตล์ แต่สินค้าต้องมีรสชาติที่ดี และได้ผลลัพธ์ที่ได้จากการดื่ม
ทั้งนี้บริษัทได้ทุ่มงบไม่ต่ำ 100 ล้านบาท ในการทำตลาดไตรมาสแรกในปีหน้านี้ โดยบริษัทปรับการสื่อสารใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสารอะมิโน และปูรากฐานของแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นอยู่ในตลาด 15 ปี จากปัจจุบันการรับรู้ของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะรู้จักและประโยชน์จากไฟเบอร์ ตามด้วยคอลลาเจน และกลูต้าไฉโอน กำลังเป็นสารที่มาแรงในขณะนี้ และจากการดำเนินการตลาดเชิงรุกในปีหน้าตั้งเป้ามีส่วนแบ่งจาก 12% เป็น 30% หรือมีรายได้ 800 ล้านบาท ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาด และต้องการขึ้นเป็นอันดับ 1 แทนที่ บิวติ ดริ้งค์ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งมากกว่า 30% ส่วนบีอิ้ง มีส่วนแบ่ง 13%
สำหรับผลประกอบการโดยรวมสิ้นปีนี้ 7,200 ล้านบาท หรือเติบโต 20% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยแบ่ง เป็น รายได้กลุ่มเครื่องดื่ม 55% และกลุ่มอาหาร 45% ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้ราว 5,197 ล้านบาท หรือเติบโต 21% ส่วนกำไร 613 ล้านบาท โต 35% และคาดว่าแต่ละปีมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 20% โดยในปี 2554 มีรายได้พุ่งเป็น 1 หมื่นล้านบาท
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์อะมิโน พลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ในปีหน้านี้คาดว่ามีมูลค่า 4,000-5,000ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโต 300-400% จากสิ้นปีนี้มีมูลค่าตลาด 2,000ล้านบาท โดยการเติบโตเป็นในทิศทางเดียวกับตลาดชาเขียว ซึ่งปีหน้านี้จะมีผู้ประกอบการเปิดตัวเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ 5-6 ราย คาดว่ามีผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาด 2 ราย เนื่องจากการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน มีผลทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องดื่มลดลงเหลือ 0% นอกจากนี้กลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมสนใจเข้ามาทำตลาดด้วยเช่นเดียวกัน
ล่าสุดบริษัทได้มีการรีลอนช์อะมิโน โอเค ครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี โดยได้ปรับภาพลักษณ์อะมิโน โอเค มาเป็นอะมิโน พลัส พร้อมกับเพิ่มกรดอะมิโนจำเป็นจาก 5 ชนิดเป็น 7 ชนิด และมีส่วนผสมอื่นๆ ที่ให้ประโยชน์ตอบสนองความต้องการแต่ละไลฟ์สไตล์ ได้แก่ อะมิโน โอเค พลัส ชาร์จ เพิ่มพลังและความสดชื่น อะมิโน พลัส เบิร์น เพื่อตอบสนองรูปร่างได้สัดส่วน และอะมิโน พลัส ไบร์ทเทนน์ เพื่อผิวกระจ่างใส นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวอะมิโน พลัส ช็อต เครื่องดื่มผสมสารอาหารในรูปแบบช็อต ซึ่งจะเป็นเครื่องดื่มที่เข้ามาเสริมภาพลักษณ์อะมิโนฟังก์ชันนัลดริงก์ให้มีความแข็งแกร่ง
นายตัน กล่าวว่า ฟังก์ชันนัลดริงก์ในรูปแบบเครื่องดื่มพร้อมดื่มมีสัดส่วน 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 60% ในปีนี้มีการเติบโตมากกว่า 100% ใกล้เคียงกับฟังก์ชันนัลดริงก์ในรูปแบบช็อตมูลค่า 800 ล้านบาท หรือสัดส่วนราว 40% อย่างไรก็ตามคาดว่า ปีหน้านี้ฟังก์ชันนัลดริงก์พร้อมดื่ม ตลาดจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกและดื่มได้ง่ายกว่า ส่วนในรูปแบบช็อต ค่อนข้างมีราคาสูง โดยอะมิโน พลัส ช็อต ราคา 30 บาท และพฤติกรรมการดื่มของกลุ่มเป้าหมายมีความคาดหวังกับผลที่จะได้รับมากกว่าฟังก์ชันนัลดริงก์พร้อมดื่ม อย่างไรก็ตามแม้พฤติกรรมของผู้บริโภคต้องการดื่มเพื่อสุขภาพและตอบสนองไลฟ์สไตล์ แต่สินค้าต้องมีรสชาติที่ดี และได้ผลลัพธ์ที่ได้จากการดื่ม
ทั้งนี้บริษัทได้ทุ่มงบไม่ต่ำ 100 ล้านบาท ในการทำตลาดไตรมาสแรกในปีหน้านี้ โดยบริษัทปรับการสื่อสารใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสารอะมิโน และปูรากฐานของแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นอยู่ในตลาด 15 ปี จากปัจจุบันการรับรู้ของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะรู้จักและประโยชน์จากไฟเบอร์ ตามด้วยคอลลาเจน และกลูต้าไฉโอน กำลังเป็นสารที่มาแรงในขณะนี้ และจากการดำเนินการตลาดเชิงรุกในปีหน้าตั้งเป้ามีส่วนแบ่งจาก 12% เป็น 30% หรือมีรายได้ 800 ล้านบาท ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาด และต้องการขึ้นเป็นอันดับ 1 แทนที่ บิวติ ดริ้งค์ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งมากกว่า 30% ส่วนบีอิ้ง มีส่วนแบ่ง 13%
สำหรับผลประกอบการโดยรวมสิ้นปีนี้ 7,200 ล้านบาท หรือเติบโต 20% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยแบ่ง เป็น รายได้กลุ่มเครื่องดื่ม 55% และกลุ่มอาหาร 45% ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้ราว 5,197 ล้านบาท หรือเติบโต 21% ส่วนกำไร 613 ล้านบาท โต 35% และคาดว่าแต่ละปีมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 20% โดยในปี 2554 มีรายได้พุ่งเป็น 1 หมื่นล้านบาท