แคททาลิสท์ฯ มั่นใจปีหน้าตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์สดใสกว่าปีนี้ คาดภาพรวมโต 10% แต่ผู้ประกอบการจะแข่งขันรุนแรงขึ้น พร้อมอัดงบตลาดเพิ่มเป็น 60 ล้านบาท ด้านยูไนเต็ดหลังตัดเอ็มพิคเจอร์ออกส่งผลรายได้ลดลง แต่กำไรเพิ่มขึ้น
นายพิทยากร ลีลาภัทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือลิขสิทธ์การผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์จากค่ายหนังต่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ในปี 2552 นี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและปัญหาความไม่นิ่งของการเมืองด้วยอีกทั้งยังถูกกระทบจากแผ่นผีซีดีเถื่อนระบาดอยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัญหาดังกล่าวแต่ในภาพรวมแล้วตลาดก็ตกไม่มากนัก เนื่องจากว่าพฤติกรรมของคนไทยเริ่มหันมานิยมการบริโภคความบันเทิงแบบโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ที่บ้านกันมากขึ้นเพราะมีค่าใช้จ่ายน้อย จากปัจจัยลบเศรณฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อลดลง
ขณะเดียวกัน ตลาดแผ่นดีวีดีลิขสิทธ์ในช่วงนี้ ผู้ประกอบการหลายรายก็ได้ปรับราคาลงมาอย่างมากส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ส่วนตลาดแผ่นบลูเรย์ก็มีการเติบโตที่น่าพอใจแม้จะยังเป็นตลาดเล็กอยู่ก็ตาม
สำหรับแนวโน้มตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ปีหน้า 2553 นายพิทยากร ประเมินว่า ยังคงเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงอยู่ การแข่งขันจะรุนแรงขึ้น จากผู้ประกอบการโดยเฉพาะในเรื่องของการทำกิจกรรมการตลาด และการแย่งซื้อลิขสิทธิ์หนังดีๆจากต่างประเทศ ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นและส่งผลให้ตลาดรวมเติบโตขึ้นมากกว่านี้อย่างน้อย 10% ปัจจุบันบริษัทถือลิขสิทธิ์หนังค่ายใหญ่ 3 ค่ายคือ ทเวนตี้เซ็นจูรี่ฟ็อกซ์ วอร์เนอร์บราเธอร์ และยูนิเวอร์แซล ซึ่งแต่ละค่ายก็มีค่ายย่อยแยกออกไปอีกมาก
โดยปีหน้าบริษัทฯตั้งงบการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านบาท จากปีนี้ที่ใช้ประมาณ 40 กว่าล้านบาท จัดกิจกรรมและการส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ รวมทั้งยังมีการจัดแคมเปญชิงโชคแจกทองด้วยนอกจากนั้นก็จัดกิจกรรมกับหนังฟอร์มใหญ่แต่ละเรื่องที่ร่วมมือกับพันธมิตร และการเปิดตัวหนังใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ส่วนลิขสิทธิ์ค่ายใหม่นั้นก็ยังมีการเจรจาต่อเนื่องยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ล่าสุดบริษัทฯได้จัดกิจกรรมเปิดตัวดีวีดีภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคที่ 6 “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม” อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย มีการจัดกิจกรรมหลากหลายเช่น การแต่งกายเหมือนตัวละครในเรื่อง การชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับพร้อมแพคเกจทัวร์สถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้จริงที่อังกฤษ และรางวัลอื่นๆอีกมากรวมทั้งยังจัดทำของพรีเมียมต่างๆด้วย ซึ่งหนังเรื่องนี้ทำรายได้ในโรงหนังในไทยมากกว่า 138 ล้านบาท
นายพิทยากรกล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 440 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 10% จากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 400 กว่าล้านบาท ส่วนบริษัทยูไนเต็ดที่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งเป็นบริษัทฯที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์สินค้าในกลุ่มแฟมิลี่เป็นหลักและซื้อหนังจากค่ายอิสระต่างๆ และรับผิดชอบตลาดศูนย์เช่าทั้งหมดให้กับแคททาลิสท์นั้น มีรายได้ปีนี้ประมาณ 600 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่มีประมาณ 700 ล้านบาท โดยภาพรวมทั้งหมดหากรวมทั้งสองบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 100กว่าล้านบาท จะตกลง 10%
สาเหตุที่ ยูไนเต็ด มีรายได้ลดลงนั้น เพราะเราไปปรับโครงสร้างทางธุรกิจ ด้วยการที่ยกเลิกการเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังของค่ายเอ็มพิคเจอร์ออกไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ หลังจากที่ทำตลาดมาเกือบ 2 ปี พบว่า ไม่คุ้มทุน จึงทำให้รายได้รวมลดลง แต่ส่งผลดีคือ สามารถตัดตัวเลขขาดทุนออกไปได้ ส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
นายพิทยากร ลีลาภัทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือลิขสิทธ์การผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์จากค่ายหนังต่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ในปี 2552 นี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและปัญหาความไม่นิ่งของการเมืองด้วยอีกทั้งยังถูกกระทบจากแผ่นผีซีดีเถื่อนระบาดอยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัญหาดังกล่าวแต่ในภาพรวมแล้วตลาดก็ตกไม่มากนัก เนื่องจากว่าพฤติกรรมของคนไทยเริ่มหันมานิยมการบริโภคความบันเทิงแบบโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ที่บ้านกันมากขึ้นเพราะมีค่าใช้จ่ายน้อย จากปัจจัยลบเศรณฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อลดลง
ขณะเดียวกัน ตลาดแผ่นดีวีดีลิขสิทธ์ในช่วงนี้ ผู้ประกอบการหลายรายก็ได้ปรับราคาลงมาอย่างมากส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ส่วนตลาดแผ่นบลูเรย์ก็มีการเติบโตที่น่าพอใจแม้จะยังเป็นตลาดเล็กอยู่ก็ตาม
สำหรับแนวโน้มตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ปีหน้า 2553 นายพิทยากร ประเมินว่า ยังคงเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงอยู่ การแข่งขันจะรุนแรงขึ้น จากผู้ประกอบการโดยเฉพาะในเรื่องของการทำกิจกรรมการตลาด และการแย่งซื้อลิขสิทธิ์หนังดีๆจากต่างประเทศ ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นและส่งผลให้ตลาดรวมเติบโตขึ้นมากกว่านี้อย่างน้อย 10% ปัจจุบันบริษัทถือลิขสิทธิ์หนังค่ายใหญ่ 3 ค่ายคือ ทเวนตี้เซ็นจูรี่ฟ็อกซ์ วอร์เนอร์บราเธอร์ และยูนิเวอร์แซล ซึ่งแต่ละค่ายก็มีค่ายย่อยแยกออกไปอีกมาก
โดยปีหน้าบริษัทฯตั้งงบการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านบาท จากปีนี้ที่ใช้ประมาณ 40 กว่าล้านบาท จัดกิจกรรมและการส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ รวมทั้งยังมีการจัดแคมเปญชิงโชคแจกทองด้วยนอกจากนั้นก็จัดกิจกรรมกับหนังฟอร์มใหญ่แต่ละเรื่องที่ร่วมมือกับพันธมิตร และการเปิดตัวหนังใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ส่วนลิขสิทธิ์ค่ายใหม่นั้นก็ยังมีการเจรจาต่อเนื่องยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ล่าสุดบริษัทฯได้จัดกิจกรรมเปิดตัวดีวีดีภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาคที่ 6 “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม” อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย มีการจัดกิจกรรมหลากหลายเช่น การแต่งกายเหมือนตัวละครในเรื่อง การชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับพร้อมแพคเกจทัวร์สถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้จริงที่อังกฤษ และรางวัลอื่นๆอีกมากรวมทั้งยังจัดทำของพรีเมียมต่างๆด้วย ซึ่งหนังเรื่องนี้ทำรายได้ในโรงหนังในไทยมากกว่า 138 ล้านบาท
นายพิทยากรกล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 440 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 10% จากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 400 กว่าล้านบาท ส่วนบริษัทยูไนเต็ดที่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งเป็นบริษัทฯที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์สินค้าในกลุ่มแฟมิลี่เป็นหลักและซื้อหนังจากค่ายอิสระต่างๆ และรับผิดชอบตลาดศูนย์เช่าทั้งหมดให้กับแคททาลิสท์นั้น มีรายได้ปีนี้ประมาณ 600 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่มีประมาณ 700 ล้านบาท โดยภาพรวมทั้งหมดหากรวมทั้งสองบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 100กว่าล้านบาท จะตกลง 10%
สาเหตุที่ ยูไนเต็ด มีรายได้ลดลงนั้น เพราะเราไปปรับโครงสร้างทางธุรกิจ ด้วยการที่ยกเลิกการเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังของค่ายเอ็มพิคเจอร์ออกไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ หลังจากที่ทำตลาดมาเกือบ 2 ปี พบว่า ไม่คุ้มทุน จึงทำให้รายได้รวมลดลง แต่ส่งผลดีคือ สามารถตัดตัวเลขขาดทุนออกไปได้ ส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้น