นายกฯ เผย ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบแผนปฏิรูปการรถไฟฯ โดยจะปรับปรุงอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และเตรียมเปิดเส้นทางใหม่เชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คาดใช้งบฯ 1 แสนล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 17 และการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ที่ประเทศสิงคโปร์ กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” โดยระบุว่า เมื่อวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยจะมีการปรับปรุงในอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งระบบราง อาณัติสัญญาณต่าง ๆ และหัวรถจักร ซึ่งจะเพิ่มความเร็วรถไฟจาก 50-60 กม./ชม. เป็น 100-120 กม./ชม. มีการลงทุนในระบบรางคู่
นอกจากนี้ จะลงทุนเปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงจากอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดนครพนม และเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยบางส่วนจะใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง บางส่วนจะลงทุนร่วมกับต่างประเทศ และเชิญชวนภาคเอกชนเข้ามาลงทุน ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ ไปภาคตะวันออกด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนการปรับปรุงด้านการบริหารจัดการรถไฟนั้น เมื่อมีการท้วงติงไม่ให้แยกบริษัท ก็อาจต้องใช้วิธีการจัดทำเป็นหน่วยธุรกิจ มีการแยกบัญชี แต่ทั้งหมดยังขึ้นอยู่กับการรถไฟฯ โดยจะแบ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องราง ดูแลเรื่องการเดินรถ และดูแลเรื่องทรัพย์สิน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 17 และการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ที่ประเทศสิงคโปร์ กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” โดยระบุว่า เมื่อวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยจะมีการปรับปรุงในอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งระบบราง อาณัติสัญญาณต่าง ๆ และหัวรถจักร ซึ่งจะเพิ่มความเร็วรถไฟจาก 50-60 กม./ชม. เป็น 100-120 กม./ชม. มีการลงทุนในระบบรางคู่
นอกจากนี้ จะลงทุนเปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงจากอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดนครพนม และเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยบางส่วนจะใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง บางส่วนจะลงทุนร่วมกับต่างประเทศ และเชิญชวนภาคเอกชนเข้ามาลงทุน ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ ไปภาคตะวันออกด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนการปรับปรุงด้านการบริหารจัดการรถไฟนั้น เมื่อมีการท้วงติงไม่ให้แยกบริษัท ก็อาจต้องใช้วิธีการจัดทำเป็นหน่วยธุรกิจ มีการแยกบัญชี แต่ทั้งหมดยังขึ้นอยู่กับการรถไฟฯ โดยจะแบ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องราง ดูแลเรื่องการเดินรถ และดูแลเรื่องทรัพย์สิน
