“เป้าหมายดั้งเดิมที่ทำผลิตภัณฑ์ เอเอสทีวี ก็คือ เป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ที่ได้ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องทางการเมือง เพื่อหารายได้มาจุนเจือ ไม่ให้จอเอเอสทีวีต้องดับลง เพราะมีต้นทุนในการดำเนินงานอย่างมาก ซึ่งก็พอที่จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ จนกระทั่งหลังจากการชุมนุมได้ยุติลง (ชั่วคราว) ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แต่แนวคิดดังกล่าวก็ยังสานต่อมา และได้รับการตอบรับอย่างดี จากกลุ่มพันธมิตรฯด้วยกันทั่วประเทศ ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอยู่แล้ว หรือเป็นผู้ที่มีสูตรในการผลิตสินค้าด้วย จึงเกิดมีการคุยกันและวางโครงสร้างการดำเนินงานกันจนเป็นรูปเป็นร่าง ในการพัฒนาสินค้าเอเอสทีวีขึ้นมาอย่างเป็นระบบ” จิตตนาถ ลิ้มทองกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสทีวี โปรดักส์ จำกัด ผู้ดำเนินโครงการดังกล่าว ในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ กล่าว
นี่คือจุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ เอเอสทีวี
สินค้าตัวแรก คือ ข้าวถุงเอเอสทีวี เหตุผลก็คือ ข้าวเป็นอาหารที่คนไทยต้องทานทุกคน ทุกวัน ทุกชนชั้น อยู่แล้ว และก็ได้ผล
แค่เริ่มทำตลาดมาอย่างจริงจังประมาณต้นปีนี้เอง ทว่าความสำเร็จและการตอบรับมีล้นหลาม
ปัจจุบันเอเอสทีวีมีสินค้าประมาณ 70 กว่ารายการแล้ว จากผู้ผลิตมากกว่า 20-30 ราย ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ผลิตท้องถิ่นและโรงงานระดับกลางถึงเล็ก คนไทยทั้งสิ้น
ทว่า แม้วันนี้สินค้าเอเอสทีวีจะมีอนาคตและเติบโตไปอย่างรวดเร็ว
แต่ จิตตนาถ ย้ำว่า “เมื่อเราบรรลุวัตถุประสงค์ข้อแรกไปแล้ว คือ การไม่ให้จอเอเอสทีวีดับลง หรือเพื่อบรรเทาหนักเป็นเบาได้บ้างแล้ว ตอนนี้เราต้องคิดไปให้ไกลกว่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯที่ทำให้สินค้าเอเอสทีวีเกิดขึ้นมาได้
“เอเอสทีวีเกิดได้เพราะศรัทธาจากประชาชนและกลุ่มพันธมิตรฯทั้งหลาย”
ทำให้มีสินค้ามากมายที่ต้องการเข้าร่วมโครงการกับเอเอสทีวี
อย่างไรก็ตาม แต่เพื่อให้การผลิตสินค้านั้นมีคุณภาพและมีมาตรฐาน กระบวนการทำงานจึงต้องเข้มงวดและชัดเจน โดยสินค้าทุกตัวของเอเอสทีวีจะต้องผ่าน “อย.” เสียก่อน
“ที่มาของสินค้าเอเอสทีวีนั้น หลักๆ ก็คือ ผู้ผลิตบางรายมีสูตรอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่มีช่องทางในการผลิตหรือการขาย รวมไปถึงผู้ผลิตสินค้าที่มีแบรนด์อยู่แล้วแต่ต้องการเข้าร่วมโครงการกับเอเอสทีวีก็สามารถทำได้ ซึ่งเราให้การสนับสนุน เพราะต้องการให้ผู้ผลิตสินค้าคนไทย โดยเฉพาะระดับท้องถิ่นสามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเสียเปรียบพวกร้านโมเดิร์นเทรดต่างประเทศที่ต้องโขกค่าแรกเข้าสินค้า ค่าการตลาด ค่าอะไรอีกมากมาย ที่เอาเปรียบอย่างมาก ที่จะงัดออกมาเก็บเงินจากผู้ผลิตเหล่านี้”
ผู้ผลิตที่ร่วมกับเรา เมือ่สินค้าได้จำหน่ายเรียบร้อย หักค่าใช้จ่ายต่างๆ เราจะคืนส่วนต่างกำไรให้กับผู้ผลิตภายใน 15 วัน ไม่ต้องรอนานเหมือนการทำเครดิตของโมเดิร์นเทรดที่นานกว่า 60 วัน
สิ่งนี้เองที่ทำให้ จากแรกเริ่มเดิมทีมีเพียงข้าวสาร แต่เวลานี้ สินค้าแตกแขนงออกมาเป็นถึง 5 กลุ่มแล้วคือ
1.สินค้าคอนซูเมอร์ทั่วไป เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก น้ำปลา แป็นต้น
2.สินค้าเวชภัณฑ์หรือเวชสำอาง
3.สินค้ามัลติมีเดียในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ
4. สินค้าออร์แกนิกปลอดสารพิษ เช่น ข้าวสาร ปุ๋ยอินทรีย์
และ กลุ่มที่ 5.ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่อยู่ในช่วงของการเริ่มต้น คือ กลุ่มบริการ เช่น การรับทำ พ.ร.บ. การรับทำประกันวินาศภัย เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า เราไม่ได้มีแต่เพียงของกินเท่านั้น เรายังขยายไปถึงการบริการต่างๆ ที่จำเป็นด้วย เราไม่ได้ด้อยกว่าพวกโมเดิร์นเทรดต่างชาติตรงไหนเลย ส่วนสินค้าเราก็มีคุณภาพ และมีให้เลือกหลากหลายด้วย
ขณะที่ หากมองในแง่ของช่องทางจำหน่ายแล้ว ผลิตภัณฑ์เอเอสทีวี สามารถที่จะสร้างและขยายช่องทางได้หลากหลาย ในอันที่จะเข้าถึงตัวผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
ในวันนี้ มีทั้งหมด 3 ช่องทางหลัก คือ
1.คอลล์เซ็นเตอร์ โดยใช้เบอร์ 02-633-5353 เพียงเบอร์เดียว
2.เอเยนต์ ตัวแทนจำหน่ายสินค้าหรือผู้ที่สนใจจะนำไปจำหน่ายต่อ
3.เอเอสทีวีชอป ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการ คาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในต้นปีหน้า
ในแต่ละช่องทางก็มีความแตกต่างกัน
คอลล์เซ็นเตอร์ จะเป็นช่องทางหลักช่องทางเดียวที่ผู้ซื้อจะโทร.สั่งซื้อสินค้าเอเอสทีวีได้เพียงแห่งเดียว โดยมีเงื่อนไขหลัก คือ ต้องสั่งซื้อไม่ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อครั้ง และจะได้รับสินค้าภายในเวลาไม่เกิน 3 วัน ในกรุงเทพฯและปริมณฑล
ข้อดีของการใช้ระบบคอลล์เซ็นเตอร์แห่งเดียว คือ การไม่เกิดปัญหาการขอแย่งเป็นตัวแทนในแต่ละพื้นที่ เพราะทุกคนต้องสั่งซื้อผ่านคอลล์เซ็นเตอร์นี้ที่เดียว
ขณะที่ช่องทางเอเยนต์นั้น จะเป็นตัวแทนในการจำหน่ายสินค้าของเรา โดยผู้ที่จะเป็นเอย่นต์ได้นั้น ขั้นแรกจะต้องมาลงทะเบียนกับบริษัทก่อน ด้วยการซื้อสินค้าในครั้งแรก มูลค่า 20,000 บาท เพื่อเป็นเอเย่นต์ที่สามารถลงทะเบียนเข้าสู่ระบบได้ จากนั้นการสั่งซื้อสินค้าครั้งต่อไปจะต้องเติมหรือซื้อครั้งละ 5,000 บาท และจะได้รับการส่งสินค้าฟรี
ปัจจุบันช่องทางนี้เติบโตเร็วมากมีประมาณไม่ต่ำว่กา 500 รายแล้ว
ส่วนร้านเอเอสทีวีชอป ที่จะเปิดเป็นร้านภายใต้ชื่อ เอเอสทีวีชอป และจะเป็นเหมือนเครือข่ายที่จะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากด้วย ซึ่งยังมีแผนที่จะเปิดในระบบแฟรนไชส์ด้วยสำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนชื่อเครือข่ายดังกล่าวนี้
ที่สำคัญคือ การนำชื่อ เอเอสทีวีชอป นี้ไปใช้ ไม่มีการคิดค่าแฟรนไชส์ หรือค่ารอยัลตี้ อะไรทั้งปวง เหมือนพวกแฟรไชส์ร้านคอนวีเนียนสดตร์ทัวไป
นี่คือ ความแตกต่างอีกอย่างที่เอเอสทีวีสร้างขึ้นมา
สาขาแรกของเอเอสทีวีชอป อย่างเป็นทางการ คาดว่า จะเห็นได้ต้นปีหน้า สาขาแรกคือ บริเวณถนนท่าพระอาทิตย์ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ก็มีร้านที่ติดป้ายชื่อ เอเอสทีวีชอป ให้เห็นบ้างแล้วในต่างจังหวัด แต่เป็นการลงทุนเปิดของเครือข่ายพันธมิตรเอง ยังไม่ใช่เป็นการลงทุนของเอเอสทีวีโดยตรง
จิตตนาถ ยังเปิดเผยด้วยว่า “ตอนนี้เรากำลังเตรียมตัวที่จะเปิดการขายในระบบเอเยนต์บุคคล หรือที่เรียกกันว่านักธุรกิจอิสระ ในระบบขายตรง
“การทำขายตรงของเราจะไม่มีหลายชั้น เพราะซ้ำซ้อนและจะมีปัยญหามาก ซึ่งสินค้าของเราหลายอย่างที่สามารถเข้าสู่ระบบขายตรงได้ คิดว่าในปีหน้าระบบขายตรงนี้อาจจะเห็นได้ชัดเจน” จิตตนาถ กล่าว
แม้ว่าจะมีช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น แต่ตลาดก็ยังใหญ่ โอกาสยังมีอีกมาก เพราะทุกวันนี้ สินค้า 70 กว่ารายการ ยังเข้าตลาดได้แค่ 40% ยังมีอีกตั้ง 60% ของตลาดที่ยังรออยู่ ยังไม่นับรวมสินค้าในอนาคตที่จะเกิดขึ้นมากกว่านี้อีกหลายรายการ
จิตตนาถ ยังเตือนด้วยว่า “ตอนนี้สินค้าเอเอสทีวีเริ่มขายดี เป็นที่ต้องการของตลาด ดังนั้น มักจะมีผู้แอบอ้างฉวยประโยชน์เข้ามาแฝงเหมือนกัน เช่น กรณีมีผู้สั่งซื้อสินค้าเอเอสทีวีไปแล้ว แต่ในช่วงระหว่างการขนส่งที่พ้นจากเราไป คือ อาจจะส่งต่อเป็นทอดๆ ให้กับร้านค้ารายย่อย จะมีคนสอดไส้เอาสินค้าอื่นยี่ห้ออื่นผสมลงไปด้วย ทำให้ร้านค้าและผู้ใช้บางคนไม่รู้บางทีนึกว่าเป็นสินค้าของเอเอสทีวี ซื้อไปใช้ แต่คุณภาพมันไม่ดี ตรงนี้เราก็เสียหาย ต้องระวังให้มากขึ้น ดังนั้นสินค้าที่ถูกต้องจะต้องมีตรา เอเอสทีวี กำกับอยู่ด้วย”
สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ กล่าวว่า สินค้าเอเอสทีวีเกิดได้เพราะศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อเรา เมื่อสินค้าเอเอสทีวีไม่ว่าจะเป็น สบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน และอื่นๆ ขายได้ เงินมีมากขึ้น เงินนั้นก็จะกลับคืนไปสู่ประชาชน กลับคืนไปสู่พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ เงินทุกบาททุกสตางค์ เราจะใช้ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะการซื้อจานดาวเทียมไปติดตั้งตามชุมชนต่างๆ การทำสื่อวิทยุชุมชน ซึ่งหากมีสื่อที่แพร่หลายเข้าถึงปรชาชนได้มาก โอกาสที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง ถูกต้อง ก็มีมากขึ้น ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น