ทองทำสถิติใหม่แตะ 1.7 หมื่น ผู้ค้าชี้ รูปแบบการซื้อขายทองเปลี่ยนไป "พาณิชย์" ยอมรับตลาดทองเปลี่ยนจากสินค้าเป็นการเก็งกำไร เตรียมตั้งคณะทำงานดูแลการซื้อขายแบบออนไลน์ เพื่อป้องกันการฉ้อโกง พร้อมกำหนดคุณสมบัติผู้ค้าใหม่ เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือ
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวว่า จากราคาทองคำที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นในอนาคต จนกระทบต่อปริมาณการซื้อขายทองคำในปีนี้ลดลงจากปีก่อนถึง 2 เท่าตัว หากปล่อยให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้า ร้านค้าทองทั่วไปจะเหลือเพียง 10% จากปัจจุบันมีจำนวน 6 พันร้านค้า
อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาทองคำ ยังเชื่อว่า ราคาทองจะไม่ถึงบาทละ 20,000 บาท แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะขึ้นไปถึง 18,000 บาท ขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปมาก โอกาสที่ราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้นก็เป็นไปได้
ด้านราคาทองคำเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 (วานนี้) สามารถทำลายสถิติสูงสุดของประเทศได้อีกครั้ง โดยทองคำแท่งซื้อเข้า 17,200 บาท และขายออก 17,300 บาท ส่วนทองรูปพรรณซื้อเข้าในราคา 16,948 บาท และขายออก 17,700 บาท
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมร่วมกับสมาคมผู้ค้าทองคำ โดยระบุว่า สถานการณ์ราคาทองคำที่ผันผวนขณะนี้ ส่งผลให้การซื้อ-ขายทองคำ เปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อสินค้าเป็นการเก็งกำไรมากขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เล็งเห็นถึงความยุ่งยากจากการเข้าซื้อขายทองคำแต่ละครั้ง จึงกำหนดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดกลไกการซื้อขายทองคำผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้แทนจากสมาคมผู้ค้าทองและกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันกำหนดรูปแบบการซื้อขายให้มีความรัดกุมป้องกันการฉ้อโกง
โดยเบื้องต้น คงจะต้องกำหนดคุณสมบัติผู้ขาย เช่น ต้องเป็นผู้ที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ขณะที่ผู้ซื้อต้องมีเครดิตยืนยันชัดเจน รูปแบบการซื้อขายจะสามารถออกคำสั่งซื้อที่มีผลทันที และหากต้องการขายก็จะมีผลทันที ซึ่งยอมรับว่าอาจมีการเก็งกำไรบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ เชื่อว่าการค้าผ่านระบบออนไลน์จะทำให้การซื้อขายแต่ละครั้งไม่ยุ่งยาก ขณะเดียวกัน ร้านค้าทองจะมียอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 1 ปี 2553
