“อรรคพล” ประกาศ ดันไมซ์เป็นวาระแห่งชาติ เตรียมเสนอ ครม.ในสิ้นปีนี้ ฝัน 7 ปี ไทยนั่งผู้นำกลุ่มเอเชีย แซง ฮ่องกง สิงคโปร์ เล็งหารือรัฐบาล ไฟเขียว ผ่อนปรนกฎระเบียบ หวังกวักมือชวนเอกชนเข้ามาลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตอกย้ำความพร้อมให้กับประเทศไทย โดยจัดเป็นแพกเกจ ทั้งมาตรการภาษี และความสะดวกด้านต่างๆ ย้ำนับจากนี้ สสปน.ต้องเข้มการทำงานเชิงรุก และสร้างการรับรู้ในภาพลักษณ์ขององค์กร ชูกลยุทธ์ครีเอทีฟอีโคโนมี สร้างความแตกต่าง
วานนี้ (3 พ.ย.) นายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน.(TCEB) เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์และแนวทางการทำงานภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2552 ว่า มีแผนเสนอขอมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้การส่งเสริมการจัดประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการ และ การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (ไมซ์) ให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของ สสปน. สามารถรุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ในภาวการณ์แข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง เพราะ สสปน.ไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งให้หน่วยงานใดทำอะไรได้ แต่หากเป็นวาระแห่งชาติถือว่าทุกหน่วยงานรัฐต้องปฏิบัติร่วมกัน โดยเฉพาะองค์กรรัฐและเอกชนในต่างประเทศ (ไทยทีม) คาดว่า จะเสนอได้ในสิ้นปีนี้
โดย สสปน.ได้จัดทำเป็นแผนปฏิบัติการระยะยาว 7 ปี เป้าหมายคือ ผลักดันประเทศไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไมซ์ในเอเชีย โดยจะแบ่งเป็นแผนระยะสั้นในช่วง 3 ปี สิ้นเดือนนี้ต้องแล้วเสร็จ ซึ่ง สสปน.มีแผนที่จะให้หน่วยราชการที่มีการจัดประชุมระหว่างประเทศ ได้ออกไปบิทงานการประชุมที่เกี่ยวกับหน่วยงานของตัวเองเข้ามาจัดในประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจมีการประชุมระหว่างประเทศทุกปีอยู่แล้ว
นอกจากนั้น ในแผนปฎิบัติการ 3 ปี จะต้องมีการพัฒนาบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมๆ กับการขยายตัวของธุรกิจไมซ์ ที่วางแผนว่าจะต้องเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 25% โดยทุกๆ ปี ไทยจะต้องมีการจัดงานขนาดใหญ่ระดับนานาชาติที่มีผู้ร่วมงานมากกว่า 5 หมื่น-1 แสนคน เข้ามาจัดงาน จากปัจจุบันมีเพียงงานขนาดกลาง ผู้ร่วมงานไม่เกิน 5 หมื่นคน
นายอรรคพล กล่าวว่า จากนี้ไป สสปน.จะต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยมีภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญขณะนี้ คือ ต้องสร้างการรับรู้ในบทบาทของ สสปน.ให้ชัดเจน ให้แก่ภาคประชาชนและภาคเอกชนได้รับทราบ โดยภารกิจหลักของ สสปน.คือ ผู้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยให้เติบโต รวมถึงเป็นผู้กำหนดนโยบายการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย
***สร้างความโปร่งใสจากการใช้งบ****
สสปน.ไม่ใช่หน่วยงานหารายได้ แต่งบประมาณที่มีทั้งหมดมาจากการสนับสนุนของภาครัฐ 100% ดังนั้น ต้องสามารถคิดคำนวณเป็นตัวเลขได้ว่า เงินทุกบาทที่รัฐลงทุนมานี้ จะสร้างรายได้กลับเข้าประเทศได้เท่าใด ดังนั้น นับจากนี้ไป สสปน.จะต้องเริ่มจัดเก็บตัวเลขนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ให้ชัดเจนโดยแยกออกจากนักท่องเที่ยวทั่วไป รวมถึงการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์นี้ ว่า ต่อคนต่อทริปจะอยู่ที่เท่าใด เพื่อให้เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ในการสร้างรายได้เข้าประเทศ เพราะการประกาศให้ไมซ์เป็นวาระแห่งชาติ ก็เพื่อให้มีการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามแผนการใช้เงินที่วางไว้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) เป็นต้น
“องค์การมหาชนตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้มีการทำงานรวดเร็วเหมือนเอกชน แต่โปร่งใสตรวจสอบได้อย่างภาครัฐ ซึ่งทิศทางการทำงานของ สสปน.จึงต้องรวดเร็วโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งจากสถานการณ์การแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง เราต้องมีการปรับกระบวนการทำงานจากเดิมบ้าง เน้นรูปแบบครีเอทีฟ อีโคโนมิก จับจุดเด่นของประเทศไทย เช่น วัฒนธรรม และความน่ารักของนิสัยคนไทย มาเป็นจุดขายให้เหนือคู่แข่งขัน อย่าง ฮ่องกง และ สิงคโปร์ โดยรูปแบบการประชุมต้องดีไซน์ให้แปลกใหม่ เป็นการนำเสนอทางเลือกที่แตกต่าง นอกเหนือจากความคุ้มค่าเงินซึ่งประเทศไทยมีอยู่แล้ว”
***ดึงเอกชนลงทุนสร้างความพร้อม****
อีกภาระกิจหนึ่งของ สสปน.คือ จะต้องเป็นผู้นำเสนอแนวคิดต่อรัฐบาลถึงการเปิดกว้างสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชนที่สนใจลงทุนในระบบสาธารณูปโภค และโรงแรม ที่จะเอื้อกับการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางเข้ามาจัดประชุมและนิทรรศกาลที่ประเทศไทย โดยเบื้องต้นจะหารือ กับภาครัฐ จัดทำแพกเกจสำหรับสนับสนุนเอกชน เช่น การให้ส่วนลดทางภาษี หรือการเปิดสัมปทานสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ เพื่อให้เอกชนมีส่วนร่วมในการวางรากฐานด้านสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับตลาดไมซ์ เช่น สร้างโรงแรม ใกล้พื้นที่ศูนย์ประชุม
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ สสปน.ได้ปรับประมาณการเป้าหมายอีกครั้ง เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ จึงคาดว่า ทั้งปีเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ จะอยู่ที่ 628,653 คน เพิ่มจากประมาณการณ์ครั้งก่อน แต่ยังลดลงเมื่อเทียบปี 2551 ซึ่งมีเข้ามา 727,723 คน ส่วนรายได้ปีนี้คาดไว้ที่ 45,560 ล้านบาท เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อน แต่ลดลงจากปี 2551 ที่มีรายได้ 52,700 ล้านบาท สำหรับปี 2553 เป้ามีต่างชาติเข้ามาร่วมงานไมซ์ในประเทศไทยที่ 785,816 คน สร้างรายได้ 56,950 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้น 934 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประจำปี 749 ล้านบาท และงบจากโครงการไทยเข้มแข็ง 185 ล้านบาท
วานนี้ (3 พ.ย.) นายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน.(TCEB) เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์และแนวทางการทำงานภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2552 ว่า มีแผนเสนอขอมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้การส่งเสริมการจัดประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการ และ การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (ไมซ์) ให้เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของ สสปน. สามารถรุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ในภาวการณ์แข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง เพราะ สสปน.ไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งให้หน่วยงานใดทำอะไรได้ แต่หากเป็นวาระแห่งชาติถือว่าทุกหน่วยงานรัฐต้องปฏิบัติร่วมกัน โดยเฉพาะองค์กรรัฐและเอกชนในต่างประเทศ (ไทยทีม) คาดว่า จะเสนอได้ในสิ้นปีนี้
โดย สสปน.ได้จัดทำเป็นแผนปฏิบัติการระยะยาว 7 ปี เป้าหมายคือ ผลักดันประเทศไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไมซ์ในเอเชีย โดยจะแบ่งเป็นแผนระยะสั้นในช่วง 3 ปี สิ้นเดือนนี้ต้องแล้วเสร็จ ซึ่ง สสปน.มีแผนที่จะให้หน่วยราชการที่มีการจัดประชุมระหว่างประเทศ ได้ออกไปบิทงานการประชุมที่เกี่ยวกับหน่วยงานของตัวเองเข้ามาจัดในประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจมีการประชุมระหว่างประเทศทุกปีอยู่แล้ว
นอกจากนั้น ในแผนปฎิบัติการ 3 ปี จะต้องมีการพัฒนาบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมๆ กับการขยายตัวของธุรกิจไมซ์ ที่วางแผนว่าจะต้องเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 25% โดยทุกๆ ปี ไทยจะต้องมีการจัดงานขนาดใหญ่ระดับนานาชาติที่มีผู้ร่วมงานมากกว่า 5 หมื่น-1 แสนคน เข้ามาจัดงาน จากปัจจุบันมีเพียงงานขนาดกลาง ผู้ร่วมงานไม่เกิน 5 หมื่นคน
นายอรรคพล กล่าวว่า จากนี้ไป สสปน.จะต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยมีภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญขณะนี้ คือ ต้องสร้างการรับรู้ในบทบาทของ สสปน.ให้ชัดเจน ให้แก่ภาคประชาชนและภาคเอกชนได้รับทราบ โดยภารกิจหลักของ สสปน.คือ ผู้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยให้เติบโต รวมถึงเป็นผู้กำหนดนโยบายการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย
***สร้างความโปร่งใสจากการใช้งบ****
สสปน.ไม่ใช่หน่วยงานหารายได้ แต่งบประมาณที่มีทั้งหมดมาจากการสนับสนุนของภาครัฐ 100% ดังนั้น ต้องสามารถคิดคำนวณเป็นตัวเลขได้ว่า เงินทุกบาทที่รัฐลงทุนมานี้ จะสร้างรายได้กลับเข้าประเทศได้เท่าใด ดังนั้น นับจากนี้ไป สสปน.จะต้องเริ่มจัดเก็บตัวเลขนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ให้ชัดเจนโดยแยกออกจากนักท่องเที่ยวทั่วไป รวมถึงการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์นี้ ว่า ต่อคนต่อทริปจะอยู่ที่เท่าใด เพื่อให้เห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ในการสร้างรายได้เข้าประเทศ เพราะการประกาศให้ไมซ์เป็นวาระแห่งชาติ ก็เพื่อให้มีการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามแผนการใช้เงินที่วางไว้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) เป็นต้น
“องค์การมหาชนตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้มีการทำงานรวดเร็วเหมือนเอกชน แต่โปร่งใสตรวจสอบได้อย่างภาครัฐ ซึ่งทิศทางการทำงานของ สสปน.จึงต้องรวดเร็วโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งจากสถานการณ์การแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง เราต้องมีการปรับกระบวนการทำงานจากเดิมบ้าง เน้นรูปแบบครีเอทีฟ อีโคโนมิก จับจุดเด่นของประเทศไทย เช่น วัฒนธรรม และความน่ารักของนิสัยคนไทย มาเป็นจุดขายให้เหนือคู่แข่งขัน อย่าง ฮ่องกง และ สิงคโปร์ โดยรูปแบบการประชุมต้องดีไซน์ให้แปลกใหม่ เป็นการนำเสนอทางเลือกที่แตกต่าง นอกเหนือจากความคุ้มค่าเงินซึ่งประเทศไทยมีอยู่แล้ว”
***ดึงเอกชนลงทุนสร้างความพร้อม****
อีกภาระกิจหนึ่งของ สสปน.คือ จะต้องเป็นผู้นำเสนอแนวคิดต่อรัฐบาลถึงการเปิดกว้างสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชนที่สนใจลงทุนในระบบสาธารณูปโภค และโรงแรม ที่จะเอื้อกับการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางเข้ามาจัดประชุมและนิทรรศกาลที่ประเทศไทย โดยเบื้องต้นจะหารือ กับภาครัฐ จัดทำแพกเกจสำหรับสนับสนุนเอกชน เช่น การให้ส่วนลดทางภาษี หรือการเปิดสัมปทานสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ เพื่อให้เอกชนมีส่วนร่วมในการวางรากฐานด้านสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับตลาดไมซ์ เช่น สร้างโรงแรม ใกล้พื้นที่ศูนย์ประชุม
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ สสปน.ได้ปรับประมาณการเป้าหมายอีกครั้ง เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ จึงคาดว่า ทั้งปีเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ จะอยู่ที่ 628,653 คน เพิ่มจากประมาณการณ์ครั้งก่อน แต่ยังลดลงเมื่อเทียบปี 2551 ซึ่งมีเข้ามา 727,723 คน ส่วนรายได้ปีนี้คาดไว้ที่ 45,560 ล้านบาท เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อน แต่ลดลงจากปี 2551 ที่มีรายได้ 52,700 ล้านบาท สำหรับปี 2553 เป้ามีต่างชาติเข้ามาร่วมงานไมซ์ในประเทศไทยที่ 785,816 คน สร้างรายได้ 56,950 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้น 934 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประจำปี 749 ล้านบาท และงบจากโครงการไทยเข้มแข็ง 185 ล้านบาท