นายสมชาย ชีวสุทธานนท์ กรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ล่าสุด หลังเปิดตัว “Einstein” ซึ่งเป็นยูนิตบิซิเนสใหม่ ที่อยู่ภายใต้แม็ทชิ่ง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ได้เริ่มโปรเจกต์แรกไปแล้ว ใช้ชื่อว่า “มิวสิค บิซิเนส” ร่วมกับทาง บอยด์ โกสิยพงษ์ โดยรูปแบบโปรเจกต์นี้ คือ การใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงลูกค้าพร้อมต่อยอดสร้างคอมมูนิตี้จับกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ระดับบีบวกขึ้นไป ในกลุ่มระดับเฟิร์สจ๊อปเปอร์ขึ้นไปเป็นหลัก ผ่านช่องทางอื่นๆ ทั้ง ออนไลน์ และอีเวนต์ต่างๆ ผ่านศิลปินกลุ่มในชื่อ “ซีซันไฟว์”
สำหรับ มิวสิค บิซิเนส นี้ ถือเป็น มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ที่นำเสนอแตกต่างจากที่ส่วนใหญ่ใช้กันในปัจจุบัน โดยโมเดลนี้ทางไอน์สไตน์ จะสร้างขึ้นมาก่อน โดยใช้ผลวิจัยและโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่เป็นโจทย์ในการทำงาน ซึ่งเมื่อเพลงนั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแล้ว ก็จะนำผลงานนี้ไปเสนอกับลูกค้าที่มองว่าเพลงนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยสินค้านั้นได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับการที่สินค้าเลือกใช้พรีเซนเตอร์ หรือร่วมมือกับค่ายเพลงทำเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณาแล้ว “มิวสิค บิซิเนส” ช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนลงไปได้อีกกว่า 2 เท่า จากที่เคยใช้ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ยังสามารถได้ฐานลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์สินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มองว่า โปรเจกต์ “มิวสิค บิซิเนส” จะเหมาะกับสินค้าบางประเภทเท่านั้น ที่เป็นสินค้าในชีวิตประจำวัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และความเป็นตัวตนของผู้บริโภค ซึ่งโปรเจกต์นี้ ทางบริษัทได้ทำให้ลูกค้า 2 ราย เริ่มไปแล้ว 1 ราย และจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือน พ.ย.นี้ และอีกรายที่กำลังจะเห็นในระยะอันใกล้
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าไอน์สไตน์ยังมีโปรเจกต์ที่จะทำอีกราว 3-4 โปรเจกต์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ โจอี้ บอย, เต๋า-สมชาย เข็มกลัด เป็นต้น ต้นทุนการทำแต่ละโปรเจกต์ในประมาณแสนกว่าบาท ซึ่งโปรเจกต์ใหม่นี้จะมีการต่อยอดการทำงานร่วมกับบริษัทในเครือที่มีอยู่ โดยใช้ไอน์สไตน์เป็นตัวคิดโปรเจกต์เป็นหลัก มั่นใจว่า การรับรู้รายได้จากไอน์สไตน์ในปีหน้าจะมีไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ปีนี้เริ่มรับรู้รายได้ไปแล้ว 15 ล้านบาทมาจากสปอนเซอร์จากลูกค้า 70% และจากการขายเพลง รวมถึงการดาวน์โหลด (ไอน์สไตน์เป็นเจ้าของลิขสิทธ์) อีก 30%
สำหรับ มิวสิค บิซิเนส นี้ ถือเป็น มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ที่นำเสนอแตกต่างจากที่ส่วนใหญ่ใช้กันในปัจจุบัน โดยโมเดลนี้ทางไอน์สไตน์ จะสร้างขึ้นมาก่อน โดยใช้ผลวิจัยและโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่เป็นโจทย์ในการทำงาน ซึ่งเมื่อเพลงนั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแล้ว ก็จะนำผลงานนี้ไปเสนอกับลูกค้าที่มองว่าเพลงนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยสินค้านั้นได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับการที่สินค้าเลือกใช้พรีเซนเตอร์ หรือร่วมมือกับค่ายเพลงทำเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณาแล้ว “มิวสิค บิซิเนส” ช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนลงไปได้อีกกว่า 2 เท่า จากที่เคยใช้ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ยังสามารถได้ฐานลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์สินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มองว่า โปรเจกต์ “มิวสิค บิซิเนส” จะเหมาะกับสินค้าบางประเภทเท่านั้น ที่เป็นสินค้าในชีวิตประจำวัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และความเป็นตัวตนของผู้บริโภค ซึ่งโปรเจกต์นี้ ทางบริษัทได้ทำให้ลูกค้า 2 ราย เริ่มไปแล้ว 1 ราย และจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือน พ.ย.นี้ และอีกรายที่กำลังจะเห็นในระยะอันใกล้
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าไอน์สไตน์ยังมีโปรเจกต์ที่จะทำอีกราว 3-4 โปรเจกต์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ โจอี้ บอย, เต๋า-สมชาย เข็มกลัด เป็นต้น ต้นทุนการทำแต่ละโปรเจกต์ในประมาณแสนกว่าบาท ซึ่งโปรเจกต์ใหม่นี้จะมีการต่อยอดการทำงานร่วมกับบริษัทในเครือที่มีอยู่ โดยใช้ไอน์สไตน์เป็นตัวคิดโปรเจกต์เป็นหลัก มั่นใจว่า การรับรู้รายได้จากไอน์สไตน์ในปีหน้าจะมีไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ปีนี้เริ่มรับรู้รายได้ไปแล้ว 15 ล้านบาทมาจากสปอนเซอร์จากลูกค้า 70% และจากการขายเพลง รวมถึงการดาวน์โหลด (ไอน์สไตน์เป็นเจ้าของลิขสิทธ์) อีก 30%
