“พาณิชย์” จับตาพ่อค้าเล่นแง่ ลดไชส์ แต่ขายราคาเดิม พบเพียบทั้งผงซักฟอก ยาสระผม ขนม ขู่ตรวจพบโทษคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน โชวห่วยรับสินค้าลดไซส์จริง แนะรัฐดูเรื่องนี้ด้วย อย่ามัวแต่ติดตามแค่เรื่องราคา ด้าน ยูนิลีเวอร์ เอาใจรัฐ ยันไม่ขึ้นราคาถึงสิ้นปี
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายดูแลสินค้าทั้งในด้านราคาและปริมาณ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ซึ่งหากพบว่าสินค้ารายการใดในบัญชีควบคุม ที่มีการปรับลดปริมาณลงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แม้จะขายในราคาเดิมก็ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท ดังนั้น จึงขอเตือนผู้ผลิตสินค้า ไม่ให้ฉวยโอกาสในช่วงเศรษฐกิจฟื้น ปรับลดปริมาณสินค้า จนทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ
“นโยบาย นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ต้องการให้ตรึงราคาสินค้าต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งนอกจากจะเข้าไปดูแลเรื่องราคาแล้ว จะดูในเรื่องปริมาณสินค้าด้วย ไม่ใช่ว่าราคาเท่าเดิมแต่ปริมาณลดลง”
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสายด่วนแม่บ้าน 1569 แจ้งว่า มีประชาชนได้ร้องเรียนเข้ามามากกว่า สินค้าหลายรายการเริ่มปรับราคาขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น หรือบางรายการขายในราคาเดิมแต่ปริมาณน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผงซักฟอก ยาสระผม ครีมนวดผม รวมถึงขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ โดยสินค้าเหล่านี้ ขนาดบรรจุภัณฑ์เท่าเดิม แต่ปริมาณภายในลดลงไปมาก จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแล เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคทางอ้อม
นายอภิสันต์ กษมานนท์ เจ้าของร้านมินิมาร์ท ย่านสนามบินน้ำ กล่าวว่า ราคาขายปลีกขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ในช่วงที่ผ่านมาแม้จะไม่เพิ่มขึ้น แต่พบว่าสินค้ามีปริมาณลดลง จึงอยากให้กรมการค้าภายในมาช่วยดูแลปริมาณสินค้าให้สอดคล้องกับราคาที่ปรับขึ้นลงด้วย
นายบาวเคอร์ ราวเออร์ส ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทจะตรึงราคาสินค้าต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ตามนโยบายภาครัฐ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภค และเพิ่มการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่ง แต่บริษัทกำลังติดตามภาวะต้นทุนการผลิต ทั้งราคาน้ำมัน และวัตถุดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแนวทางบริหารต้นทุนให้สามารถตรึงราคาสินค้าได้ โดยมั่นใจว่า สภาวะตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปลายปีนี้ จะเริ่มมีกำลังซื้อกลับเข้ามา ตามสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจในการใช้จ่ายอีกครั้ง
“ยอดขายสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภคทั้งปีนี้คาดว่าจะไม่ดี และติดลบ 3-4% แต่ยังน้อยกว่าจีดีพีของประเทศที่คาดว่าจะลบถึง 6% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปีนี้คาดว่า กำลังซื้อน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า ส่งผลให้ยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ กลับมาเป็นบวก และเติบโตสูงกว่าจีดีพีที่คาดว่าจะโต 3-4%”
ส่วนการจัดโครงการยูนิลีเวอร์ ไชโย ครั้งที่ 2 จะไม่กระทบยอดขายของตลาดรวมลดลง เพราะน่าจะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้น และช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เข้าไปจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด 30% ร่วมกับร้านโชห่วย 100,000 ร้านค้าทั่วประเทศ จนถึงเดือน พ.ย.นี้ เพื่อช่วยเพิ่มการแข่งขันให้ผู้ประกอบการรายย่อย และลดค่าครองชีพแก่ประชาชน
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายดูแลสินค้าทั้งในด้านราคาและปริมาณ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ซึ่งหากพบว่าสินค้ารายการใดในบัญชีควบคุม ที่มีการปรับลดปริมาณลงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แม้จะขายในราคาเดิมก็ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท ดังนั้น จึงขอเตือนผู้ผลิตสินค้า ไม่ให้ฉวยโอกาสในช่วงเศรษฐกิจฟื้น ปรับลดปริมาณสินค้า จนทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ
“นโยบาย นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ต้องการให้ตรึงราคาสินค้าต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งนอกจากจะเข้าไปดูแลเรื่องราคาแล้ว จะดูในเรื่องปริมาณสินค้าด้วย ไม่ใช่ว่าราคาเท่าเดิมแต่ปริมาณลดลง”
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสายด่วนแม่บ้าน 1569 แจ้งว่า มีประชาชนได้ร้องเรียนเข้ามามากกว่า สินค้าหลายรายการเริ่มปรับราคาขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น หรือบางรายการขายในราคาเดิมแต่ปริมาณน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผงซักฟอก ยาสระผม ครีมนวดผม รวมถึงขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ โดยสินค้าเหล่านี้ ขนาดบรรจุภัณฑ์เท่าเดิม แต่ปริมาณภายในลดลงไปมาก จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแล เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคทางอ้อม
นายอภิสันต์ กษมานนท์ เจ้าของร้านมินิมาร์ท ย่านสนามบินน้ำ กล่าวว่า ราคาขายปลีกขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ในช่วงที่ผ่านมาแม้จะไม่เพิ่มขึ้น แต่พบว่าสินค้ามีปริมาณลดลง จึงอยากให้กรมการค้าภายในมาช่วยดูแลปริมาณสินค้าให้สอดคล้องกับราคาที่ปรับขึ้นลงด้วย
นายบาวเคอร์ ราวเออร์ส ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทจะตรึงราคาสินค้าต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ตามนโยบายภาครัฐ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภค และเพิ่มการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่ง แต่บริษัทกำลังติดตามภาวะต้นทุนการผลิต ทั้งราคาน้ำมัน และวัตถุดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแนวทางบริหารต้นทุนให้สามารถตรึงราคาสินค้าได้ โดยมั่นใจว่า สภาวะตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปลายปีนี้ จะเริ่มมีกำลังซื้อกลับเข้ามา ตามสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจในการใช้จ่ายอีกครั้ง
“ยอดขายสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภคทั้งปีนี้คาดว่าจะไม่ดี และติดลบ 3-4% แต่ยังน้อยกว่าจีดีพีของประเทศที่คาดว่าจะลบถึง 6% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปีนี้คาดว่า กำลังซื้อน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า ส่งผลให้ยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ กลับมาเป็นบวก และเติบโตสูงกว่าจีดีพีที่คาดว่าจะโต 3-4%”
ส่วนการจัดโครงการยูนิลีเวอร์ ไชโย ครั้งที่ 2 จะไม่กระทบยอดขายของตลาดรวมลดลง เพราะน่าจะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้น และช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เข้าไปจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด 30% ร่วมกับร้านโชห่วย 100,000 ร้านค้าทั่วประเทศ จนถึงเดือน พ.ย.นี้ เพื่อช่วยเพิ่มการแข่งขันให้ผู้ประกอบการรายย่อย และลดค่าครองชีพแก่ประชาชน