กสิกรฯ ประเมินอนาคต “มาบตาพุด” หลังมีคำสั่งระงับ 76 โครงการลงทุน เชื่อไม่ส่งผล ศก.สะดุด แต่อาจกระทบความเชื่อมั่น เพราะภาครัฐได้ไปโรดโชว์เอาไว้แล้ว นักลงทุนอาจชะลอดูความชัดเจนข้อกฎหมาย และข้อจำกัดในการเข้ามาลงทุน ส่วนโครงการไทยเข้มแข็งไม่กระทบ เพราะเป็นการลงทุนพื้นฐานขนาดย่อย กระจายทั่วประเทศ
นางพรพิมล มหัจฉริยวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงกรณีคำสั่งของศาลปกครองหากมีผลให้ต้องระงับโครงการลงทุนทั้ง 76 โครงการจริง เชื่อว่า จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เฉพาะการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน แต่รวมไปถึงโครงการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งในโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เช่น โรงงานถลุงเหล็ก และการลงทุนต่อเนื่อง โครงการปิโตรเคมี รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เซาเทิร์นซีบอร์ด
ดังนั้น การวางนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลในอนาคตเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ต้องคำนึงถึงการสร้างความสมดุลของคนในชุมชนที่ต้องได้รับความเป็นธรรมด้วย
“ตอนนี้ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเกี่ยวทั้งข้อกฎหมาย และการเคลื่อนไหวของภาคเอกชน นักลงทุนที่กระทรวงอุตสาหกรรม และบีโอไอ ไปโรดโชว์มาก่อนหน้านี้ ยังรอความชัดเจน โดยเฉพาะข้อกฎหมาย และข้อจำกัดในการลงทุน”
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้รวมถึงปีหน้าไม่มาก และคงไม่ทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวสะดุดลง แต่มีความกังวลถึงผลต่อเนื่องในระยะยาวมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ อาจได้รับผลกระทบแต่ไม่มากนัก แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการประเมินผลเป็นตัวเลขชัดเจน โดยต้องรอข้อสรุปที่จะออกมาก่อน ซึ่งโครงการที่ถูกระงับส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
สำหรับโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เชื่อว่า ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากคำสั่งของศาลปกครอง เนื่องจากเป็นโครงการของรัฐบาลที่โครงสร้างโครงการส่วนใหญ่จะเน้นการกระจายการลงทุนไปทั่วประเทศ ซึ่งช่วง 1-2 ปีนี้ จะยังเป็นโครงการขนาดเล็กมากกว่า แต่โครงการที่อาจมีผลกระทบจะอยู่ในกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการวางท่อก๊าซที่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุน