อายิโนะโมะโต๊ะ ชูนโยบายตั้งหลักใส่เกียร์รอลุยตลาด หลังเศรษฐกิจพ่นพิษกระทบพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน กำลังซื้อหดไม่ซื้อสินค้าใหม่ทดลอง เดินเกมชะลอการเปิดตัวสินค้าใหม่ อัดฉีด 400 ล้านบาท ลุยเครื่องปรุงรส”รสดี” โหมการตลาดหนักสกัดคนอร์ สิ้นปีแชร์พุ่ง 64% โอด 2 ไตรมาสรายได้พลาดเป้า สิ้นปีโตกว่า 10% กวาด 2.6 หมื่นล้านบาท
นายพิเชียร คูสมิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสยี่ห้อรสดี เปิดเผยว่า ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ผลประกอบการเดือนเมษายน ซึ่งเป็นรอบบัญชีของบริษัท กระทั่งเดือน กันยายน หรือในช่วงไตรมาส 2 และ 3 เติบโต 9% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้ามีการเติบโตมากกว่า 10%
อย่างไรก็ตามการดำเนินตลาดของบริษัทไม่เน้นในเชิงรุก แต่เป็นการเตรียมพร้อม เพื่อรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมทั้งรอโอกาสทางการตลาด แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่มีความกังวลด้านกำลังการซื้อของผู้บริโภคมากกว่า
“เศรษฐกิจถดถอยทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ซื้อสินค้าใหม่ที่เปิดตัว เพราะกำลังการซื้อของผู้บริโภคมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทจึงต้องชะลอไปก่อน”
สำหรับปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 3-5% ของรายได้รวม หรือราว 1,300 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ของปีนี้ จะปรับโฉมใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ ส่วนในปีหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ 1 แคธิกอรี่
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 400 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้ 350 ล้านบาท ดำเนินการตลาดเชิงรุกเครื่องปรุงรส “รสดี” ภายใต้แนวคิด รสดี 30 ปี คู่ครัว คู่คุณได้ปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้มีความทันสมัย เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยทำงานตอนต้นหรือคู่แต่งงาน พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่”ฟู้ด โฟน” มุ่งเน้นการสื่อรสดีเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมานานกว่า 30 ปี
ขณะเดียวกันเปิดตัวโครงการ”รสดีสร้างอาชีพ” โดยเข้าไปฝึกอบรมโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร 10 แห่ง และพัฒนาสูตร 30 เมนูอาหารรสดี ตลอดจนการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอน โครงการดังกล่าวจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 6,000 คน อีกทั้งยังเข้าไปตกแต่งร้านค้า 30 แห่ง ทั้งนี้คาดว่ากิจกรรมดังกล่าวสามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่มช่องทางร้านอาหารและภัตตาคารและผลักดันให้สิ้นปีนี้รสดีรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยการเติบโต 14% หรือมีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 62% เป็น 64% คนอร์ 35% และอื่นๆ 3%
สภาพตลาดเครื่องปรุงรสปีนี้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 11% จากมูลค่า 4,500 ล้านบาท ทั้งนี้แบ่งเป็น เครื่องปรุงรสชนิดผง 60% หรือมูลค่า 3,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตมากกว่าชนิดก้อนซึ่งมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท และในอนาคตเครื่องปรุงรสกลายเป็นตลาดที่มีศักยภาพและขนาดใหญ่กว่าตลาดผงชูรส เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว
นายพิเชียร กล่าวถึงการทำตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ว่า รอโอกาสทางการตลาดมากกว่า ส่วนกลุ่มอาหารแช่แข็ง ล่าสุดได้เริ่มทำตลาดภายในประเทศ 1-2 ปี โดยมีสินค้า 4-5 รายการ หลังจากก่อนหน้านี้เน้นส่งออก อย่างไรก็ตามอุปสรรคในขณะนี้ คือ อาหารแช่แข็งวางราคาสูงถึง 20% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง พร้อมกันนี้บริษัทเน้นในเรื่องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนต่างๆ
ในระยะยาว สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 10% หรือมีรายได้ 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบัน ผงชูรสอายิโนโมะโต๊ะ สร้างรายได้ 1 ใน 3 ของบริษัท ตามด้วยรสดี สัดส่วน 15-20%
นายพิเชียร คูสมิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสยี่ห้อรสดี เปิดเผยว่า ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ผลประกอบการเดือนเมษายน ซึ่งเป็นรอบบัญชีของบริษัท กระทั่งเดือน กันยายน หรือในช่วงไตรมาส 2 และ 3 เติบโต 9% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้ามีการเติบโตมากกว่า 10%
อย่างไรก็ตามการดำเนินตลาดของบริษัทไม่เน้นในเชิงรุก แต่เป็นการเตรียมพร้อม เพื่อรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมทั้งรอโอกาสทางการตลาด แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่มีความกังวลด้านกำลังการซื้อของผู้บริโภคมากกว่า
“เศรษฐกิจถดถอยทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ซื้อสินค้าใหม่ที่เปิดตัว เพราะกำลังการซื้อของผู้บริโภคมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทจึงต้องชะลอไปก่อน”
สำหรับปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 3-5% ของรายได้รวม หรือราว 1,300 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ของปีนี้ จะปรับโฉมใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ ส่วนในปีหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ 1 แคธิกอรี่
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 400 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้ 350 ล้านบาท ดำเนินการตลาดเชิงรุกเครื่องปรุงรส “รสดี” ภายใต้แนวคิด รสดี 30 ปี คู่ครัว คู่คุณได้ปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้มีความทันสมัย เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยทำงานตอนต้นหรือคู่แต่งงาน พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่”ฟู้ด โฟน” มุ่งเน้นการสื่อรสดีเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมานานกว่า 30 ปี
ขณะเดียวกันเปิดตัวโครงการ”รสดีสร้างอาชีพ” โดยเข้าไปฝึกอบรมโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร 10 แห่ง และพัฒนาสูตร 30 เมนูอาหารรสดี ตลอดจนการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอน โครงการดังกล่าวจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 6,000 คน อีกทั้งยังเข้าไปตกแต่งร้านค้า 30 แห่ง ทั้งนี้คาดว่ากิจกรรมดังกล่าวสามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่มช่องทางร้านอาหารและภัตตาคารและผลักดันให้สิ้นปีนี้รสดีรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยการเติบโต 14% หรือมีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 62% เป็น 64% คนอร์ 35% และอื่นๆ 3%
สภาพตลาดเครื่องปรุงรสปีนี้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 11% จากมูลค่า 4,500 ล้านบาท ทั้งนี้แบ่งเป็น เครื่องปรุงรสชนิดผง 60% หรือมูลค่า 3,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตมากกว่าชนิดก้อนซึ่งมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท และในอนาคตเครื่องปรุงรสกลายเป็นตลาดที่มีศักยภาพและขนาดใหญ่กว่าตลาดผงชูรส เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว
นายพิเชียร กล่าวถึงการทำตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ว่า รอโอกาสทางการตลาดมากกว่า ส่วนกลุ่มอาหารแช่แข็ง ล่าสุดได้เริ่มทำตลาดภายในประเทศ 1-2 ปี โดยมีสินค้า 4-5 รายการ หลังจากก่อนหน้านี้เน้นส่งออก อย่างไรก็ตามอุปสรรคในขณะนี้ คือ อาหารแช่แข็งวางราคาสูงถึง 20% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง พร้อมกันนี้บริษัทเน้นในเรื่องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนต่างๆ
ในระยะยาว สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 10% หรือมีรายได้ 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบัน ผงชูรสอายิโนโมะโต๊ะ สร้างรายได้ 1 ใน 3 ของบริษัท ตามด้วยรสดี สัดส่วน 15-20%