กิฟฟารีน เร่งสร้างขาธุรกิจกลุ่มแฮร์แคร์ เสริมความแข็งแกร่งผู้ดำเนินธุรกิจขายตรง อัดฉีด 15 ล้านบาท นำเข้าผลิตภัณฑ์เส้นผม “เอสแปร์โต้ บาย กิฟฟารีน” เจาะตลาดสาวไทยมีปัญหาเส้นผม ปูพรมสินค้า 5 รายการ ลั่นขยายครบทุกไลน์ สิ้นปีโต 10% กวาด 4,700 ล้านบาท มั่นใจไตรมาส 4 ขายตรงคึกคักรับเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มั่นใจภาพรวมขายตรงโต 7%
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน เปิดเผยว่า แนวทางการตลาดของบริษัทต้องการโฟกัสกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผมในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อผลักดันภาพลักษณ์การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงที่นอกเหนือจากมีความแข็งแกร่งด้านสกินแคร์ เครื่องสำอาง ยังมีผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์เส้นผม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีมูลค่ามากกว่าตลาดเครื่องสำอาง อีกทั้งในธุรกิจขายตรงยังไม่มีคู่แข่งทำตลาดมากนัก
บริษัททุ่มงบ 10-15 ล้านบาท เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมนำเข้าแบรนด์ “เอสแปร์โต้ บาย กิฟฟารีน” วางตำแหน่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลปัญหาเส้นผมระดับพรีเมียม ราคา 595-1,250 บาท สูงกว่าผลิตภัณฑ์เส้นผมของบริษัท 70-80% นำร่องเปิดตัว 5 รายการ ได้แก่ แชมพู ครีมนวด ซีรั่มบำรุงผม สเปรย์จัดแต่งทรงผม และเจลจัดแต่งทรงผม และปีหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำสีผม และผลิตภัณฑ์สำหรับดัดผม เพื่อให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผม
ทั้งนี้ เอสแปร์โต้ บาย กิฟฟารีน เป็นผลิตภัณฑ์เส้นผมที่พัฒนาสูตรขึ้นจาก ดร.โรแนล เอ็ม. ไดซาลโว นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้กิฟฟารีน มีผลิตภัณฑ์เส้นผมเฉพาะสูตรจากธรรมชาติ แชมพูขจัดรังแค เจาะกลุ่มครอบครัว ซึ่งจากการเปิดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น หรือกระทั่งช่องทางร้านเสริมสวยมากขึ้น
นางนลินี กล่าวว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์เส้นผมในเซกเมนต์ดูแลเส้นผมสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมเสีย เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยทั้งกลุ่มมีอายุและวัยรุ่น ทำสีผม 80-90% และมีปัญหาผมเสียเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเริ่มดำเนินโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงต้นปี ทั้งนี้ คาดว่า ยอดขายเอสแปร์โต้ 6 เดือนที่ 5 ล้านบาท จากปัจจุบันผลิตภัณฑ์เส้นผมยอดขาย 10 ล้านบาท ต่อเดือน โดยในอนาคตบริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผมเพิ่มขึ้น จากเดิมมีรายได้ไม่ถึง 10%
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะเปิดตัวสินค้า 15-16 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสีฟันพรีเมียม และครีบบำรุง เป็นต้น ทั้งนี้ต้อนรับกับช่วงไฮซีซันของธุรกิจขายตรง และภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าฟื้นตัวในช่วงปลายปี หากไม่มีปัจจัยลบทางการเมือง ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณบวก ยอดขายของบริษัทโตเกิน 10% และออเดอร์ซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
สภาพตลาดธุรกิจขายตรงปีนี้ คาดว่ามีอัตราการเติบโต 7% สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 10% หรือมีรายได้ 4,600-4,700 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 4,200 ล้านบาท โดยยอดขายในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาเติบโต 8 % แบ่งเป็นสกินแคร์และเครื่องสำอาง 60% ที่เหลือเป็นอื่นๆ 40%
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน เปิดเผยว่า แนวทางการตลาดของบริษัทต้องการโฟกัสกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผมในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อผลักดันภาพลักษณ์การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงที่นอกเหนือจากมีความแข็งแกร่งด้านสกินแคร์ เครื่องสำอาง ยังมีผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์เส้นผม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีมูลค่ามากกว่าตลาดเครื่องสำอาง อีกทั้งในธุรกิจขายตรงยังไม่มีคู่แข่งทำตลาดมากนัก
บริษัททุ่มงบ 10-15 ล้านบาท เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมนำเข้าแบรนด์ “เอสแปร์โต้ บาย กิฟฟารีน” วางตำแหน่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลปัญหาเส้นผมระดับพรีเมียม ราคา 595-1,250 บาท สูงกว่าผลิตภัณฑ์เส้นผมของบริษัท 70-80% นำร่องเปิดตัว 5 รายการ ได้แก่ แชมพู ครีมนวด ซีรั่มบำรุงผม สเปรย์จัดแต่งทรงผม และเจลจัดแต่งทรงผม และปีหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำสีผม และผลิตภัณฑ์สำหรับดัดผม เพื่อให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผม
ทั้งนี้ เอสแปร์โต้ บาย กิฟฟารีน เป็นผลิตภัณฑ์เส้นผมที่พัฒนาสูตรขึ้นจาก ดร.โรแนล เอ็ม. ไดซาลโว นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้กิฟฟารีน มีผลิตภัณฑ์เส้นผมเฉพาะสูตรจากธรรมชาติ แชมพูขจัดรังแค เจาะกลุ่มครอบครัว ซึ่งจากการเปิดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น หรือกระทั่งช่องทางร้านเสริมสวยมากขึ้น
นางนลินี กล่าวว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์เส้นผมในเซกเมนต์ดูแลเส้นผมสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมเสีย เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยทั้งกลุ่มมีอายุและวัยรุ่น ทำสีผม 80-90% และมีปัญหาผมเสียเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเริ่มดำเนินโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงต้นปี ทั้งนี้ คาดว่า ยอดขายเอสแปร์โต้ 6 เดือนที่ 5 ล้านบาท จากปัจจุบันผลิตภัณฑ์เส้นผมยอดขาย 10 ล้านบาท ต่อเดือน โดยในอนาคตบริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผมเพิ่มขึ้น จากเดิมมีรายได้ไม่ถึง 10%
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะเปิดตัวสินค้า 15-16 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสีฟันพรีเมียม และครีบบำรุง เป็นต้น ทั้งนี้ต้อนรับกับช่วงไฮซีซันของธุรกิจขายตรง และภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าฟื้นตัวในช่วงปลายปี หากไม่มีปัจจัยลบทางการเมือง ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณบวก ยอดขายของบริษัทโตเกิน 10% และออเดอร์ซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
สภาพตลาดธุรกิจขายตรงปีนี้ คาดว่ามีอัตราการเติบโต 7% สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 10% หรือมีรายได้ 4,600-4,700 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 4,200 ล้านบาท โดยยอดขายในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาเติบโต 8 % แบ่งเป็นสกินแคร์และเครื่องสำอาง 60% ที่เหลือเป็นอื่นๆ 40%