ทีพีซี เดินหน้าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ พิจารณา 2 ประเด็นหลัก “เมธาวี” ในฐานะประธานคณะกรรมการ จี้ฝ่ายบัญชี หาใบเสร็จรับเงินย้อนหลัง 4 ปีแรกตั้งอีลิทการ์ด หวั่น ตัวเลขไม่ตรงตามจริง ชี้ถ้าพบเรียกผู้บริหารสอบย้อนหลังได้
นางสาวเมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบ บริษัท ไทยแลนด์ พรีวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้ดำเนินโครงการ บัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรรหาบุคคลที่จะมาร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งตนเองเป็นประธาน คาดว่าจะสรุปและเริ่มประชุมนัดแรกได้ภายในวันศุกร์ที่ 4 ก.ย.2552 นี้ โดยกรรมการอีก 2 ท่านที่จะมาร่วมทำงานตรวจสอบครั้งนี้ จะคัดเลือกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 1 ท่าน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี อีก 1 ท่าน
ทั้งนี้ จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงใน 2 ประเด็นหลัก ตามที่บอร์ดทีพีซีได้ตั้งข้อสังเกตไว้ กล่าวคือ 1.ตรวจสอบสัญญาที่ทีพีซีทำไว้กับคู่สัญยาในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะจากการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการฝ่ายกฏหมาย ระบุว่าพบพิรุธทางเอกสารในหลายสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งเป็นผลให้ ทีพีซี เสียเปรียบ
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ การตรวจสอบหลักฐานการจ่ายเงินของสมาชิกผู้ซื้อบัตรอีลิทการ์ด โดยประเด็นนี้ จะตรวสอบเอกสารใบเสร็จรับเงินของ ทีพีซี ว่าตรงตามจำนวนบัตรสมาชิกหรือไม่ เพราะจากรายงานของบริษัท ระบุว่า มีสมาชิกทั้งสิ้น 2,570 ราย คิดเป็นรายได้ 2,270 ล้านบาท ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวยังมีใบเสร็จการรับเงินที่เป็นหลักฐานการจ่ายเงินอยู่น้อยมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2546-2549 ยังไม่ค่อยพบใบ้เสร็จรับเงิน ซึ่งตรงนี้ คงจะต้องให้ฝ่ายบัญชีไปขอค้นข้อมูลที่โกดังเก็บเอกสารของบริษัททีพีซี โดยละเอียด
“ในช่วงปีดังกล่าว จะมีจำนวนสมาชิกที่สมัครเข้ามาเยอะมากเกือบ 2 พันราย ส่วนปี 2550 การสมัครสมาชิกใหม่เริ่มลดลง เพราะองค์กรเริ่มมีปัญหาแล้ว โดยฝ่ายบัญชีที่ทำงานอยู่ปัจจุบันก็เป็นชุดใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ 3 ปี และไม่ได้มีการส่งมอบงานจากชุดเก่า เราจึงต้องมาสืบค้นเอกสารกันใหม่ทั้งหมด เพื่อยืนยันตัวเลขทางบัญชีทั้งรายรับรายจ่ายให้ตรงกัน”
ทั้งนี้ เพราะบอร์ด ทีพีซี ตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนเงินที่เหลืออยู่ปัจจุบัน 375 ล้านบาท เมื่อหักลบกับรายจ่ายและรายได้ที่ผ่านมา ตรงกันหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่า การโอนเงินจ่ายค่าบัตรของสมาชิกเป็นไปอย่างถูกต้อง มีเอกสารใบเสร็จรับเงินยืนยันได้ ส่วนกรณีสัญญาที่ ทีพีซีทำไว้ ซึ่งดูจากงเอนไขเวลาที่ทำจะเร่งด่วนเกินไปจึงต้องการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าจงใจให้ทำแบบเร่งด่วน หรือไม่ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ พร้อมจัดทำข้อสรุปถึงบอร์ดทีพีซี และ นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยว
ทั้งสองประเด็นดังกล่าว หากตรวจสอบพบว่ามีข้อมูลพียงพอที่จะตั้งประเด็นได้ว่าเป็นการทำงานที่ผิดปกติ ก็สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยหากเกิดเรื่องในยุคสมัยผู้บริหารรายใด ก็ต้องเรียกมาสอบสอบ เป็นรายกรณีไป โดยนายชุมพล ต้องการข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาและเสนอ ครม.อย่างเร่งด่วน แต่ต้องรอบคอบทุกขั้นตอน
นางสาวเมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบ บริษัท ไทยแลนด์ พรีวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้ดำเนินโครงการ บัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรรหาบุคคลที่จะมาร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งตนเองเป็นประธาน คาดว่าจะสรุปและเริ่มประชุมนัดแรกได้ภายในวันศุกร์ที่ 4 ก.ย.2552 นี้ โดยกรรมการอีก 2 ท่านที่จะมาร่วมทำงานตรวจสอบครั้งนี้ จะคัดเลือกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 1 ท่าน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี อีก 1 ท่าน
ทั้งนี้ จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงใน 2 ประเด็นหลัก ตามที่บอร์ดทีพีซีได้ตั้งข้อสังเกตไว้ กล่าวคือ 1.ตรวจสอบสัญญาที่ทีพีซีทำไว้กับคู่สัญยาในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะจากการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการฝ่ายกฏหมาย ระบุว่าพบพิรุธทางเอกสารในหลายสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งเป็นผลให้ ทีพีซี เสียเปรียบ
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ การตรวจสอบหลักฐานการจ่ายเงินของสมาชิกผู้ซื้อบัตรอีลิทการ์ด โดยประเด็นนี้ จะตรวสอบเอกสารใบเสร็จรับเงินของ ทีพีซี ว่าตรงตามจำนวนบัตรสมาชิกหรือไม่ เพราะจากรายงานของบริษัท ระบุว่า มีสมาชิกทั้งสิ้น 2,570 ราย คิดเป็นรายได้ 2,270 ล้านบาท ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวยังมีใบเสร็จการรับเงินที่เป็นหลักฐานการจ่ายเงินอยู่น้อยมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2546-2549 ยังไม่ค่อยพบใบ้เสร็จรับเงิน ซึ่งตรงนี้ คงจะต้องให้ฝ่ายบัญชีไปขอค้นข้อมูลที่โกดังเก็บเอกสารของบริษัททีพีซี โดยละเอียด
“ในช่วงปีดังกล่าว จะมีจำนวนสมาชิกที่สมัครเข้ามาเยอะมากเกือบ 2 พันราย ส่วนปี 2550 การสมัครสมาชิกใหม่เริ่มลดลง เพราะองค์กรเริ่มมีปัญหาแล้ว โดยฝ่ายบัญชีที่ทำงานอยู่ปัจจุบันก็เป็นชุดใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ 3 ปี และไม่ได้มีการส่งมอบงานจากชุดเก่า เราจึงต้องมาสืบค้นเอกสารกันใหม่ทั้งหมด เพื่อยืนยันตัวเลขทางบัญชีทั้งรายรับรายจ่ายให้ตรงกัน”
ทั้งนี้ เพราะบอร์ด ทีพีซี ตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนเงินที่เหลืออยู่ปัจจุบัน 375 ล้านบาท เมื่อหักลบกับรายจ่ายและรายได้ที่ผ่านมา ตรงกันหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่า การโอนเงินจ่ายค่าบัตรของสมาชิกเป็นไปอย่างถูกต้อง มีเอกสารใบเสร็จรับเงินยืนยันได้ ส่วนกรณีสัญญาที่ ทีพีซีทำไว้ ซึ่งดูจากงเอนไขเวลาที่ทำจะเร่งด่วนเกินไปจึงต้องการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าจงใจให้ทำแบบเร่งด่วน หรือไม่ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ พร้อมจัดทำข้อสรุปถึงบอร์ดทีพีซี และ นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยว
ทั้งสองประเด็นดังกล่าว หากตรวจสอบพบว่ามีข้อมูลพียงพอที่จะตั้งประเด็นได้ว่าเป็นการทำงานที่ผิดปกติ ก็สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยหากเกิดเรื่องในยุคสมัยผู้บริหารรายใด ก็ต้องเรียกมาสอบสอบ เป็นรายกรณีไป โดยนายชุมพล ต้องการข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาและเสนอ ครม.อย่างเร่งด่วน แต่ต้องรอบคอบทุกขั้นตอน
