บิวตี้บุฟเฟ่ต์ ได้เวลารุกตลาด โหมสร้างแบรนด์เต็มที่ พร้อมแผนขยายกลุ่มเป้าหมายสู่ผู้หญิงอายุ 25-40 ปี เล็งขายแฟรนไชส์คาดอีก 3 ปีเริ่มได้
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าความงามร้าน บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ กล่าวว่า หลังจากดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกความงามชื่อเดิมว่า โมนา มานานเกือบ 10 ปี และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บิวตี้บุฟเฟ่ต์เมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้พร้อมที่จะรุกตลาดอย่างจริงจังแล้วหลังจากที่ผ่านมาเน้นการพัฒนาสินค้าและการขยายสาขาให้แข็งแกร่งก่อน โดยจากนี้มีแผนการเรื่องของการสร้างแบรนด์ และขยายกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งการขยายสาขาด้วย
“การทำตลาดยุคนี้ต้องดูว่า เราต้องการจะต่างหรือตาย ซึ่งเราต้องการต่าง และมั่นใจว่าด้วยคอนเซ็ปท์ของการนำเอาเรื่องความงามมาผสมกับแนวคิดการทำร้านแบบอาหารเป็นร้านบิวตี้บุฟเฟ่ต์จะแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดเดียวกัน โดยใช้กลยุทธ์ราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นร้านมัลติแบรนด์ สินค้าแบรนด์ของเราเองทั้งหมด ซึ่งเดิมเมื่อ 3ปีที่แล้วคู่แข่งจากเกาหลีบอกว่าจะมีสาขาเป็น 100 แห่ง ซึ่งตอนนั้นเรามีแค่ 20 กว่าสาขาเท่านั้นเอง แต่ตอนเรามี 60 สาขา คู่แข่งมีแค่ 20 กว่าสาขาเอง ”
โดยบริษัทฯมีแผนที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมผู้หญิงอายุ 15-24 ปี ซึ่งอาจจะน้อยเกินไป ไปสู่กลุ่มอายุ 25-40 ปีด้วย เนื่องจากตัวเลขของนีลเส็นระบุว่ามีมากถึง 8 ล้านกว่าคน นอกนั้นจะใช้งบการตลาดกว่า 25 ล้านบาทในการสร้างแบรนด์ในรูปแบบครบวงจรทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นต้น ซึ่งล่าสุดได้ “กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ การทำโปรโมชั่น เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะขยายสาขาเฉลี่ย 12 สาขาต่อปี แต่ปีที่แล้วเปิดมากถึง 20 สาขา จากปัจจุบันมี 60 สาขา อยู่ในกรุงเทพฯมากกว่า 50 สาขา ลงทุนร้านขนาดใหญ่อยู่ที่ 5 ล้านบาท ขนาดเล็กอยู่ที่ 1-2 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ร้านบิวตี้บุฟเฟ่ต์ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโดยมีที่ปรึกษาจากอเมริกาเข้ามาช่วยวางระบบ คาดว่าอีก 3 ปีน่าจะเริ่มได้
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 300 ล้านบาท และคาดว่าเพิ่มเป็น 400 ล้านบาทในปีหน้า เฉลี่ยเติบโตปีละ 25-30% ซึ่งมีสินค้า 4 แบรนด์หลักเป็นการจ้างโรงงานอื่นผลิตคือ 1.GinoMccray 2.Scentio 3.Lansley 4.Anne & Florio มีสินค้ากว่า 2,000 เอสเยู ใน 3 กลุ่มสินค้าลัก คือ เมคอัพ สัดส่วนยอดขาย 30% สกินแคร์ 30% และแอคเซสซอรี่ 10% ราคาเริ่มที่ 19 บาท ถึง 600 กว่าบาท ซึ่งระดับที่ขายดีอยู่ที่ 200-300 บาท โดยจะออกสินค้าใหม่ทุกเดือน
ปัจจุบันตลาดรวมเครื่องสำอางมีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางเคาน์เตอร์แบรนด์ 10,000 ล้านบาท และช่องทางไดเร็คเซลล์ 20,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มเคาน์เตอร์แบรนด์นี้แบ่งเป็น เครื่องสำอาง 7,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มเมคอัพ 3,850 ล้านบาท สัดส่วน 55% กลุ่มสกินแคร์ 1,750 ล้านบาท สัดส่วน 25% และกลุ่มเครื่องหอม 1,400 ล้านบาท สัดส่วน 20%
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าความงามร้าน บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ กล่าวว่า หลังจากดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกความงามชื่อเดิมว่า โมนา มานานเกือบ 10 ปี และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บิวตี้บุฟเฟ่ต์เมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้พร้อมที่จะรุกตลาดอย่างจริงจังแล้วหลังจากที่ผ่านมาเน้นการพัฒนาสินค้าและการขยายสาขาให้แข็งแกร่งก่อน โดยจากนี้มีแผนการเรื่องของการสร้างแบรนด์ และขยายกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งการขยายสาขาด้วย
“การทำตลาดยุคนี้ต้องดูว่า เราต้องการจะต่างหรือตาย ซึ่งเราต้องการต่าง และมั่นใจว่าด้วยคอนเซ็ปท์ของการนำเอาเรื่องความงามมาผสมกับแนวคิดการทำร้านแบบอาหารเป็นร้านบิวตี้บุฟเฟ่ต์จะแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดเดียวกัน โดยใช้กลยุทธ์ราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นร้านมัลติแบรนด์ สินค้าแบรนด์ของเราเองทั้งหมด ซึ่งเดิมเมื่อ 3ปีที่แล้วคู่แข่งจากเกาหลีบอกว่าจะมีสาขาเป็น 100 แห่ง ซึ่งตอนนั้นเรามีแค่ 20 กว่าสาขาเท่านั้นเอง แต่ตอนเรามี 60 สาขา คู่แข่งมีแค่ 20 กว่าสาขาเอง ”
โดยบริษัทฯมีแผนที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมผู้หญิงอายุ 15-24 ปี ซึ่งอาจจะน้อยเกินไป ไปสู่กลุ่มอายุ 25-40 ปีด้วย เนื่องจากตัวเลขของนีลเส็นระบุว่ามีมากถึง 8 ล้านกว่าคน นอกนั้นจะใช้งบการตลาดกว่า 25 ล้านบาทในการสร้างแบรนด์ในรูปแบบครบวงจรทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นต้น ซึ่งล่าสุดได้ “กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ การทำโปรโมชั่น เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะขยายสาขาเฉลี่ย 12 สาขาต่อปี แต่ปีที่แล้วเปิดมากถึง 20 สาขา จากปัจจุบันมี 60 สาขา อยู่ในกรุงเทพฯมากกว่า 50 สาขา ลงทุนร้านขนาดใหญ่อยู่ที่ 5 ล้านบาท ขนาดเล็กอยู่ที่ 1-2 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ร้านบิวตี้บุฟเฟ่ต์ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโดยมีที่ปรึกษาจากอเมริกาเข้ามาช่วยวางระบบ คาดว่าอีก 3 ปีน่าจะเริ่มได้
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 300 ล้านบาท และคาดว่าเพิ่มเป็น 400 ล้านบาทในปีหน้า เฉลี่ยเติบโตปีละ 25-30% ซึ่งมีสินค้า 4 แบรนด์หลักเป็นการจ้างโรงงานอื่นผลิตคือ 1.GinoMccray 2.Scentio 3.Lansley 4.Anne & Florio มีสินค้ากว่า 2,000 เอสเยู ใน 3 กลุ่มสินค้าลัก คือ เมคอัพ สัดส่วนยอดขาย 30% สกินแคร์ 30% และแอคเซสซอรี่ 10% ราคาเริ่มที่ 19 บาท ถึง 600 กว่าบาท ซึ่งระดับที่ขายดีอยู่ที่ 200-300 บาท โดยจะออกสินค้าใหม่ทุกเดือน
ปัจจุบันตลาดรวมเครื่องสำอางมีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางเคาน์เตอร์แบรนด์ 10,000 ล้านบาท และช่องทางไดเร็คเซลล์ 20,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มเคาน์เตอร์แบรนด์นี้แบ่งเป็น เครื่องสำอาง 7,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มเมคอัพ 3,850 ล้านบาท สัดส่วน 55% กลุ่มสกินแคร์ 1,750 ล้านบาท สัดส่วน 25% และกลุ่มเครื่องหอม 1,400 ล้านบาท สัดส่วน 20%