พิษเศรษฐกิจซึมลึก ลูกค้าเล่นแง่ ซื้อสื่อขอโฆษณาแฝงเพียบ ลามจากซิตคอมไปสู่รายการอื่น ภาครัฐไม่สบอารมณ์ เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือหาทางออกภายในจันทร์นี้ ด้านนายก ส.โฆษณา ชี้ ไม่ควรดึงโฆษณาแฝงรวมในเวลาโฆษณาที่กำหนดไว้ 12 นาทีต่อชั่วโมง เชื่อการควบคุมครั้งนี้ไม่กระทบภาพรวมตลาดโฆษณา 90,000 ล้านบาท
วานนี้ (20 ส.ค.) สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดรายงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2551 ขึ้น ณ โรงแรม อโนมา โดยวาระการประชุม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการดำเนินงานของสมาคม โดยเฉพาะในส่วนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.และสำนักงานอาหารและยา หรือ อย.รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแวดวงโฆษณาในการที่จะทำให้ภาพของวงการโฆษณาดีขึ้น
นายวิทวัส ชัยปราณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา การทำงานของทางสมาคมฯ กับการประสานงานกับทางภาครัฐ อย่าง สคบ.และ อย.ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เพราะไม่ว่าจะมีการประชุมที่เกี่ยวข้องกับโฆษณา ทางสมาคมจะมีตัวแทนเข้าไปร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีร้องเรียนเข้ามาถึงโฆษณา ที่ส่อเค้าทำผิดกฎหมาย หรือเข้าร่วมเป็นผู้ตัดสินปัญหาว่าโฆษณาชิ้นนั้นเข้าข่ายมีความผิดจริงหรือไม่
ล่าสุด เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีหลายฝ่ายร้องเรียนเข้ามาว่า ปัจจุบันรายการโทรทัศน์มีการทำโฆษณาแฝงในรายการมีมากเกินไป จึงได้มอบหมายให้ทาง สคบ.เป็นเจ้าภาพในการหาทางแก้ไขปัญหานี้ ดังนั้น ทาง สคบ.จึงได้มีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ตัวแทนจากสถานีโทรทัศน์ เอเยนซีโฆษณา สมาคมโฆษณาฯ และสมาคมมีเดีย รวมถึงผู้ผลิตรายการ เข้าร่วมปรึกษาหารือ เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ณ กรมประชาสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องของโฆษณาแฝงนั้น จะเห็นว่า สถานการณ์ในปีนี้มีให้เห็นมากขึ้นจากที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ลูกค้าต้องจำกัดงบประมาณในการซื้อสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ลดลง หรือรายการที่เรตติ้งไม่ดี ไม่อยู่ในช่วงไพร์มไทม์ ก็ดึงเข้าโฆษณาแฝงมาดึงดูดลูกค้าให้มาลงโฆษณาเพื่อช่วยพยุงรายได้ โฆษณาแฝงจึงพบเห็นได้มากขึ้น จากเดิมที่จะจำกัดอยู่ในรายการประเภท ละคร ซิตคอม ได้ลามไปสู่รายการอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะรายการที่ไม่อยู่ในช่วงไพรม์ไทม์
นายวิทวัส กล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่องโฆษณาแฝงนี้ กับการที่ทางภาครัฐจะมีการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมหาทางออกร่วมกันนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อได้คำตอบ และเราต่างควบคุมกันเองได้ ย่อมเกิดความพอใจขึ้น สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ภาครัฐเองก็ไม่ต้องจัดการในการนำเรื่องนี้ร่างขึ้นเป็นกฏหมาย ส่วนผู้ประกอบการและเจ้าของสินค้าก็ได้ประโยชน์เป็นที่พอใจ ซึ่งผลการประชุมในวันจันทร์ คาดว่าน่าจะเห็นความคืบหน้าในการหาทางออกของปัญหานี้ได้บ้าง เพราะในความเป็นจริงแล้ว มั่นใจว่าทางด้านเจ้าของรายการและผู้สื่อโฆษณา คงไม่ยอมให้ภาครัฐเข้ามาควบคุม หรือตั้งกฎห้ามให้มีโฆษณาแฝงในรายการแน่นอน
สำหรับทางสมาคมเบื้องต้น มองว่า ทางออกของเรื่องนี้ อยากให้ทุกฝ่ายดูในมุมกว้างเป็นหลัก อยากให้แยกคำว่าโฆษณาแฝงออกมาให้ชัดเจน โดยมองว่าสินค้าในแต่ละรายการที่มีการนำเสนอออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เน้นหรือมีการโคสอัพ หรือกล่าวอ้างสรรพคุณเป็นบทพูดออกมานั้น ไม่อยากให้รวมว่าสินค้านั้นกำลังทำการโฆษณาแฝงอยู่
แต่ถ้าเป็นการพวกแผ่นป้ายผู้สนับสนุนรายการ การทำวีทีอาร์นำเสนอสินค้า และไท อิน สินค้าอย่างชัดเจน ให้ถือเป็นโฆษณาแฝง ซึ่งตามกฎหมายปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายขึ้นมาควบคุมเรื่องของโฆษณาแฝงอย่างชัดเจน มีเพียงกฎหมายที่ให้แต่ละรายการ สามารถมีโฆษณาได้ 12 นาทีต่อชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้น ในส่วนของโฆษณาแฝง มองว่า ภาครัฐอาจจะเหมานับรวมเป็นช่วงเวลาหนึ่งของเวลาโฆษณา แต่ทางสมาคมฯและผู้ประกอบการ อยากให้แยกออกจากเวลา 12 นาทีนี้ และขอยกเว้นให้สามารถทำการโฆษณาแฝงได้ โดยจะต้องมีเวลาควบคุมที่ชัดเจน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ น่าจะหาข้อสรุปออกมาได้
แน่นอนว่า ผลการประชุมในการหาข้อสรุปและข้อบังคับนี้ จะถือเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ทั้งสถานีโทรทัศน์แต่ละช่องจะนำไปปฏิบัติ และควบคุมรายการต่างๆ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ส่วนผู้ประกอบการและเจ้าของสินค้าก็จะรับรู้และพร้อมเข้าใจเรื่องนี้ด้วย คาดว่า โฆษณาแฝงจึงน่าจะหาข้อสรุปร่วมกันได้
อย่างไรก็ตาม การควบคุมเรื่องโฆษณาแฝงนั้น ในภาพรวมแล้ว มองว่าไม่กระทบกับภาพรวมตลาดโฆษณา 90,000 ล้านบาท เทียบแล้วมูลค่าโฆษณาแฝงมีไม่ถึง 1% ของเม็ดเงินโฆษณารวม ขณะที่โฆษณาแฝงส่วนใหญ่เป็นการแถมจากเจ้าของรายการมากกว่า จะสามารถสร้างเป็นรายได้ได้บ้าง เฉพาะรายการที่มีโฆษณาเต็มเวลา อย่างรายการช่วงไพรม์ไทม์ ที่ต้องการหารายได้โฆษณาเพิ่มเท่านั้น
วานนี้ (20 ส.ค.) สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดรายงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2551 ขึ้น ณ โรงแรม อโนมา โดยวาระการประชุม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการดำเนินงานของสมาคม โดยเฉพาะในส่วนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.และสำนักงานอาหารและยา หรือ อย.รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแวดวงโฆษณาในการที่จะทำให้ภาพของวงการโฆษณาดีขึ้น
นายวิทวัส ชัยปราณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา การทำงานของทางสมาคมฯ กับการประสานงานกับทางภาครัฐ อย่าง สคบ.และ อย.ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เพราะไม่ว่าจะมีการประชุมที่เกี่ยวข้องกับโฆษณา ทางสมาคมจะมีตัวแทนเข้าไปร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีร้องเรียนเข้ามาถึงโฆษณา ที่ส่อเค้าทำผิดกฎหมาย หรือเข้าร่วมเป็นผู้ตัดสินปัญหาว่าโฆษณาชิ้นนั้นเข้าข่ายมีความผิดจริงหรือไม่
ล่าสุด เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีหลายฝ่ายร้องเรียนเข้ามาว่า ปัจจุบันรายการโทรทัศน์มีการทำโฆษณาแฝงในรายการมีมากเกินไป จึงได้มอบหมายให้ทาง สคบ.เป็นเจ้าภาพในการหาทางแก้ไขปัญหานี้ ดังนั้น ทาง สคบ.จึงได้มีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ตัวแทนจากสถานีโทรทัศน์ เอเยนซีโฆษณา สมาคมโฆษณาฯ และสมาคมมีเดีย รวมถึงผู้ผลิตรายการ เข้าร่วมปรึกษาหารือ เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ณ กรมประชาสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องของโฆษณาแฝงนั้น จะเห็นว่า สถานการณ์ในปีนี้มีให้เห็นมากขึ้นจากที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ลูกค้าต้องจำกัดงบประมาณในการซื้อสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ลดลง หรือรายการที่เรตติ้งไม่ดี ไม่อยู่ในช่วงไพร์มไทม์ ก็ดึงเข้าโฆษณาแฝงมาดึงดูดลูกค้าให้มาลงโฆษณาเพื่อช่วยพยุงรายได้ โฆษณาแฝงจึงพบเห็นได้มากขึ้น จากเดิมที่จะจำกัดอยู่ในรายการประเภท ละคร ซิตคอม ได้ลามไปสู่รายการอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะรายการที่ไม่อยู่ในช่วงไพรม์ไทม์
นายวิทวัส กล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่องโฆษณาแฝงนี้ กับการที่ทางภาครัฐจะมีการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมหาทางออกร่วมกันนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อได้คำตอบ และเราต่างควบคุมกันเองได้ ย่อมเกิดความพอใจขึ้น สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ภาครัฐเองก็ไม่ต้องจัดการในการนำเรื่องนี้ร่างขึ้นเป็นกฏหมาย ส่วนผู้ประกอบการและเจ้าของสินค้าก็ได้ประโยชน์เป็นที่พอใจ ซึ่งผลการประชุมในวันจันทร์ คาดว่าน่าจะเห็นความคืบหน้าในการหาทางออกของปัญหานี้ได้บ้าง เพราะในความเป็นจริงแล้ว มั่นใจว่าทางด้านเจ้าของรายการและผู้สื่อโฆษณา คงไม่ยอมให้ภาครัฐเข้ามาควบคุม หรือตั้งกฎห้ามให้มีโฆษณาแฝงในรายการแน่นอน
สำหรับทางสมาคมเบื้องต้น มองว่า ทางออกของเรื่องนี้ อยากให้ทุกฝ่ายดูในมุมกว้างเป็นหลัก อยากให้แยกคำว่าโฆษณาแฝงออกมาให้ชัดเจน โดยมองว่าสินค้าในแต่ละรายการที่มีการนำเสนอออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เน้นหรือมีการโคสอัพ หรือกล่าวอ้างสรรพคุณเป็นบทพูดออกมานั้น ไม่อยากให้รวมว่าสินค้านั้นกำลังทำการโฆษณาแฝงอยู่
แต่ถ้าเป็นการพวกแผ่นป้ายผู้สนับสนุนรายการ การทำวีทีอาร์นำเสนอสินค้า และไท อิน สินค้าอย่างชัดเจน ให้ถือเป็นโฆษณาแฝง ซึ่งตามกฎหมายปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายขึ้นมาควบคุมเรื่องของโฆษณาแฝงอย่างชัดเจน มีเพียงกฎหมายที่ให้แต่ละรายการ สามารถมีโฆษณาได้ 12 นาทีต่อชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้น ในส่วนของโฆษณาแฝง มองว่า ภาครัฐอาจจะเหมานับรวมเป็นช่วงเวลาหนึ่งของเวลาโฆษณา แต่ทางสมาคมฯและผู้ประกอบการ อยากให้แยกออกจากเวลา 12 นาทีนี้ และขอยกเว้นให้สามารถทำการโฆษณาแฝงได้ โดยจะต้องมีเวลาควบคุมที่ชัดเจน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ น่าจะหาข้อสรุปออกมาได้
แน่นอนว่า ผลการประชุมในการหาข้อสรุปและข้อบังคับนี้ จะถือเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ทั้งสถานีโทรทัศน์แต่ละช่องจะนำไปปฏิบัติ และควบคุมรายการต่างๆ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ส่วนผู้ประกอบการและเจ้าของสินค้าก็จะรับรู้และพร้อมเข้าใจเรื่องนี้ด้วย คาดว่า โฆษณาแฝงจึงน่าจะหาข้อสรุปร่วมกันได้
อย่างไรก็ตาม การควบคุมเรื่องโฆษณาแฝงนั้น ในภาพรวมแล้ว มองว่าไม่กระทบกับภาพรวมตลาดโฆษณา 90,000 ล้านบาท เทียบแล้วมูลค่าโฆษณาแฝงมีไม่ถึง 1% ของเม็ดเงินโฆษณารวม ขณะที่โฆษณาแฝงส่วนใหญ่เป็นการแถมจากเจ้าของรายการมากกว่า จะสามารถสร้างเป็นรายได้ได้บ้าง เฉพาะรายการที่มีโฆษณาเต็มเวลา อย่างรายการช่วงไพรม์ไทม์ ที่ต้องการหารายได้โฆษณาเพิ่มเท่านั้น
