กระแสสุขภาพยังแรง “ไคโรฟิต” ลงทุนเพิ่ม 100 ล้านบาท ขยายพื้นที่บริการ บนพื้นที่กว่า 600 ตารางเมตร เชื่อคุ้มทุนใน 2 ปี ส่วนปีหน้าเตรียมสยายปีกลุยตลาดต่างประเทศทั้งสิงคโปร์ และ ดูไบ พร้อมผุดสาขาเพิ่ม 3 สาขาในแต่ภูมิภาค มั่นใจต่อปีรายได้แตะ 80-100 ล้านบาท
ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ กรรมการผู้จัดการและผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ ไคโรแพรคติก เปิดเผยว่า หลังจากที่ย้ายไคโรฟิต ไคโรแพรคติก คลินิก ศูนย์ฟื้นฟูและรักษาโครงสร้างร่างกายโดยศาสตร์การแพทย์ จากทองหล่อ มาอยู่ที่ อาคารแบงกอก เมดิเพล็กซ์ เอกมัย ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บนพื้นที่ราว 200 ตารางเมตร พบว่า มีผู้เข้ามาใช้บริการสูง จนทำให้ผลการดำเนินงานในรอบ 4 เดือนแรกของปี มีรายได้ไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท
ดังนั้น ทางศูนย์จึงได้ดำเนินการลงทุนต่อในเฟสที่ 2 ในการเพิ่มพื้นที่การให้บริการเป็น 600 ตารางเมตร ซึ่งใช้งบลงทุนเพิ่มอีกราว 100 ล้านบาท พร้อมโปรแกรมการให้บริการที่ครบวงจร มั่นใจว่าครึ่งปีหลังอย่างน้อยน่าจะทำรายได้ได้อีก 50 ล้านบาท หรือในปีนี้ทั้งปี เชื่อว่า จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท โดยทางศูนย์ตั้งเป้าว่า ภายในระยะเวลา 2 ปีจะมีผลการดำเนินงานถึงจุดคุ้มทุน
อย่างไรก็ตาม ไคโรฟิต ถือเป็นศูนย์การแพทย์แบบเฉพาะทาง ในการเป็นศูนย์ป้องกัน ฟื้นฟู และรักษาสมดุลโครงสร้างร่างกายด้วยการใช้ศาสตร์ไคโรแพรคติกแบบผสมผสาน โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มผู้ที่มีอาการปวดตามร่างกายอันเกิดจากภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน กลุ่มผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายและอาการปวดอันเกิดจากการบาดเจ็บ จากการเล่นกีฬา
และกลุ่มผู้มีความเสี่ยงกับโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง คอเลสเตอรอล และไขมันในเลือด ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูง มีรายได้ในระดับ บีบวกขึ้นไป ขณะที่การรักษาจะมีระดับราคาตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป ระยะเวลาในการรักษา ไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ขึ้นอยู่กับการรักษาโดยปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยอยู่ที่ 80-120 คนต่อวัน และจากการขยายพื้นที่ครั้งนี้ จะสามารถรองรับผู้เข้าใช้บริการได้สูงสุดที่ 150 คนต่อวัน
ดร.มนต์ทณัฐ กล่าวต่อว่า รูปแบบคลินิกอย่างไคโรฟิตนี้ ยังไม่มีผู้เล่นเข้ามาให้บริการนัก ดังนั้นแผนในปีหน้า ทางศูนย์เตรียมที่จะขยายสาขาไปสู่ระดับภูมิภาคต่อ โดยเชื่อว่า จะสามารถเปิดได้ประมาณ 3 แห่ง เช่น ภูเก็ต ซึ่งการเปิดให้บริการครั้งนี้ อาจจะเป็นไปได้ทั้งแบบลงทุนเอง และการเข้าไปรับบริหารจัดการให้
ขณะเดียวกัน ทางศูนย์มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ และ ดูไบ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนศึกษาความเป็นไปได้เช่นกัน โดยมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นลักษณะร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่น โดยทางศูนย์จะเข้าไปรับบริหารจัดการให้ อย่างไรก็ตามหากมีการลงทุนในต่างประเทศ คาดว่า จะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาทในแต่ละประเทศ
ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ กรรมการผู้จัดการและผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ ไคโรแพรคติก เปิดเผยว่า หลังจากที่ย้ายไคโรฟิต ไคโรแพรคติก คลินิก ศูนย์ฟื้นฟูและรักษาโครงสร้างร่างกายโดยศาสตร์การแพทย์ จากทองหล่อ มาอยู่ที่ อาคารแบงกอก เมดิเพล็กซ์ เอกมัย ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บนพื้นที่ราว 200 ตารางเมตร พบว่า มีผู้เข้ามาใช้บริการสูง จนทำให้ผลการดำเนินงานในรอบ 4 เดือนแรกของปี มีรายได้ไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท
ดังนั้น ทางศูนย์จึงได้ดำเนินการลงทุนต่อในเฟสที่ 2 ในการเพิ่มพื้นที่การให้บริการเป็น 600 ตารางเมตร ซึ่งใช้งบลงทุนเพิ่มอีกราว 100 ล้านบาท พร้อมโปรแกรมการให้บริการที่ครบวงจร มั่นใจว่าครึ่งปีหลังอย่างน้อยน่าจะทำรายได้ได้อีก 50 ล้านบาท หรือในปีนี้ทั้งปี เชื่อว่า จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท โดยทางศูนย์ตั้งเป้าว่า ภายในระยะเวลา 2 ปีจะมีผลการดำเนินงานถึงจุดคุ้มทุน
อย่างไรก็ตาม ไคโรฟิต ถือเป็นศูนย์การแพทย์แบบเฉพาะทาง ในการเป็นศูนย์ป้องกัน ฟื้นฟู และรักษาสมดุลโครงสร้างร่างกายด้วยการใช้ศาสตร์ไคโรแพรคติกแบบผสมผสาน โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มผู้ที่มีอาการปวดตามร่างกายอันเกิดจากภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน กลุ่มผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายและอาการปวดอันเกิดจากการบาดเจ็บ จากการเล่นกีฬา
และกลุ่มผู้มีความเสี่ยงกับโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง คอเลสเตอรอล และไขมันในเลือด ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูง มีรายได้ในระดับ บีบวกขึ้นไป ขณะที่การรักษาจะมีระดับราคาตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป ระยะเวลาในการรักษา ไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ขึ้นอยู่กับการรักษาโดยปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยอยู่ที่ 80-120 คนต่อวัน และจากการขยายพื้นที่ครั้งนี้ จะสามารถรองรับผู้เข้าใช้บริการได้สูงสุดที่ 150 คนต่อวัน
ดร.มนต์ทณัฐ กล่าวต่อว่า รูปแบบคลินิกอย่างไคโรฟิตนี้ ยังไม่มีผู้เล่นเข้ามาให้บริการนัก ดังนั้นแผนในปีหน้า ทางศูนย์เตรียมที่จะขยายสาขาไปสู่ระดับภูมิภาคต่อ โดยเชื่อว่า จะสามารถเปิดได้ประมาณ 3 แห่ง เช่น ภูเก็ต ซึ่งการเปิดให้บริการครั้งนี้ อาจจะเป็นไปได้ทั้งแบบลงทุนเอง และการเข้าไปรับบริหารจัดการให้
ขณะเดียวกัน ทางศูนย์มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ และ ดูไบ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนศึกษาความเป็นไปได้เช่นกัน โดยมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นลักษณะร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่น โดยทางศูนย์จะเข้าไปรับบริหารจัดการให้ อย่างไรก็ตามหากมีการลงทุนในต่างประเทศ คาดว่า จะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาทในแต่ละประเทศ