“โอบองแปง” ปรับยุทธ์ศาสตร์ ลดต้นทุนสู้ภัยเศรษฐกิจ พร้อมลงทุนโรงงานใหม่ รองรับส่งออก ผุดครัวกลางเป็นฐานส่งให้กับทุกสาขา ปรับทิศจับตลาดคนไทยมากขึ้น เหตุคนต่างชาติหดหายมาเที่ยวไทยน้อยลง พร้อมลดเป้าโตจากเดิมเหลือ 5%
นางวิภา บุญปาลิต ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอบีพี คาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปง เปิดเผยว่า สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจขณะนี้ การลงทุนมากๆโดยไม่ระมัดระวังจะมีความเสี่ยงอย่างมาก การลงทุนทุกอย่างต้องเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งในปีที่แล้วปัญหาหลักคือเรื่องต้นทุนดำเนินการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งเรื่องของน้ำมัน นม ต้องปรับราคาสินค้า 2-5 บาท ต่อชิ้น ขณะที่ปีนี้ปัญหาหลักคือ ลูกค้าหดหายไปมากโดยเฉพาะคนต่างชาติ
แผนลงทุนปีนี้จะลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น บริหารองค์กรให้ดี ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยล่าสุดได้ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่บางปูจากเดิมที่โรงงานเก่าหมดสัญญา เพื่อรองรับการขยายสาขาอีกเท่าตัว และจะใช้เป็นฐานผลิตเบแกอรี อาหารที่สำคัญ และรองรับการส่งออกโอบองแปงในต่างประเทศด้วยเช่น ที่อินเดียและมาเลเซียที่บริษัทแม่เตรียมที่จะเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ในเร็วนี้ รวมทั้งการตั้งครัวกลางในกลางเมืองที่พระรามสามให้เป็นศูนย์กลางในการส่งวัตถุดิบและอาหารไปยังสาขาต่างๆ จากเดิมที่แต่ละสาขาจะมีหน่วยครัวย่อยจัดส่งให้ 1 ครัวย่อยต่อ 5 สาขา ซึ่งการปรับใหม่นี้เพื่อเป็นการลดต้นทุนและนำพื้นที่ในร้านมาเปิดบริการได้เพิ่มขึ้น
ส่วนแผนตลาดจากนี้ จะหันมาเน้นคนไทยมากขึ้น จากเดิมที่สัดส่วนคนไทยและคนต่างชาติเท่ากัน ตั้งเป้าหมายในอนาคตเป็นคนไทย 60% จากนี้ไป เพราะคนต่างชาติหายไปมากจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และจะกระตุ้นให้คนไทยหรือกลุ่มเป้าหมายเข้าร้านเดือนละ 4 ครั้งจากเดิมเดือนละ 2 ครั้ง และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 100-150 บาทต่อครั้งต่อคน โดยปรับด้านเมนูและรสชาติกาแฟ ให้เหมาะสมกับความต้องการของคนไทยมากขึ้น
ล่าสุด ออกกาแฟราคา 45 บาท และเบเกอรี่ ราคา 45 บาท จากเดิมที่เริ่มต้นที่ 65 บาท ซึ่งได้รับการตอบจากคนไทอย่างดีรวมทั้งจะขยายตลาดช่วงมื้อเย็นให้มากขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้สัดส่วนรายได้มาจาก มื้อเช้า 30% มื้อกลางวัน 40% มื้อบ่าย 10% มื้อเย็น 10% ขณะที่สัดส่วนรายได้มาจากอาหาร 60% และเครื่องดื่ม 40% จากเดิม 35% โดยกาแฟใหม่นี้สามารถเพิ่มลูกค้าออฟฟิศถึง 10%
แผนขยายสาขาปีนี้จะมีอีกประมาณ 3 แห่ง เน้นเปิดตามออฟฟิศ และตามโรงพยาบาล เป็นหลักซึ่งเป็นจุดเด่นของโอบองแปง (ปัจจุบันมีสาขาในโรงพยาบาล 10 แห่ง) ส่วนครึ่งปีแรกยังไม่ได้เปิด ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 40 สาขา อยู่ในต่างจังหวัด 4 แห่งคือที่ภูเก็ต2 แห่ง และพัทยา 2 แห่ง และอยู่ระหว่างการหาทำเลเพื่อเปิดเพิ่มอีก ส่วนในกรุงเทพฯจะลดขนาดสาขาลงเหลือ 100 ตร.ม.กำลังเหมาะ จากเดิมที่มีขนาด 100-200 ตร.ม. ซึ่งเดิมเฉลี่ยแล้วเปิด 3-4 สาขาต่อปี
นางวิภากล่าวต่อว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตที่ 3-5% เป็นการปรับลดลงจากเดิมเมื่อต้นปีนี้ตั้งไว้ที่ 10% เนื่องจากว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ การรักษาฐานเก่าได้ก็นับว่าดีแล้ว อย่างไรก็ตามโอบองแปงไทยถือว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตที่ โดย 12 ปี มี 40 สาขา รองจากโอบองแปงอเมริกา ที่มีมากกว่า 200 สาขา รวมทั่วโลกมี 250 สาขา
นางวิภา บุญปาลิต ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอบีพี คาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปง เปิดเผยว่า สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจขณะนี้ การลงทุนมากๆโดยไม่ระมัดระวังจะมีความเสี่ยงอย่างมาก การลงทุนทุกอย่างต้องเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งในปีที่แล้วปัญหาหลักคือเรื่องต้นทุนดำเนินการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งเรื่องของน้ำมัน นม ต้องปรับราคาสินค้า 2-5 บาท ต่อชิ้น ขณะที่ปีนี้ปัญหาหลักคือ ลูกค้าหดหายไปมากโดยเฉพาะคนต่างชาติ
แผนลงทุนปีนี้จะลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น บริหารองค์กรให้ดี ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยล่าสุดได้ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่บางปูจากเดิมที่โรงงานเก่าหมดสัญญา เพื่อรองรับการขยายสาขาอีกเท่าตัว และจะใช้เป็นฐานผลิตเบแกอรี อาหารที่สำคัญ และรองรับการส่งออกโอบองแปงในต่างประเทศด้วยเช่น ที่อินเดียและมาเลเซียที่บริษัทแม่เตรียมที่จะเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ในเร็วนี้ รวมทั้งการตั้งครัวกลางในกลางเมืองที่พระรามสามให้เป็นศูนย์กลางในการส่งวัตถุดิบและอาหารไปยังสาขาต่างๆ จากเดิมที่แต่ละสาขาจะมีหน่วยครัวย่อยจัดส่งให้ 1 ครัวย่อยต่อ 5 สาขา ซึ่งการปรับใหม่นี้เพื่อเป็นการลดต้นทุนและนำพื้นที่ในร้านมาเปิดบริการได้เพิ่มขึ้น
ส่วนแผนตลาดจากนี้ จะหันมาเน้นคนไทยมากขึ้น จากเดิมที่สัดส่วนคนไทยและคนต่างชาติเท่ากัน ตั้งเป้าหมายในอนาคตเป็นคนไทย 60% จากนี้ไป เพราะคนต่างชาติหายไปมากจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และจะกระตุ้นให้คนไทยหรือกลุ่มเป้าหมายเข้าร้านเดือนละ 4 ครั้งจากเดิมเดือนละ 2 ครั้ง และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 100-150 บาทต่อครั้งต่อคน โดยปรับด้านเมนูและรสชาติกาแฟ ให้เหมาะสมกับความต้องการของคนไทยมากขึ้น
ล่าสุด ออกกาแฟราคา 45 บาท และเบเกอรี่ ราคา 45 บาท จากเดิมที่เริ่มต้นที่ 65 บาท ซึ่งได้รับการตอบจากคนไทอย่างดีรวมทั้งจะขยายตลาดช่วงมื้อเย็นให้มากขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้สัดส่วนรายได้มาจาก มื้อเช้า 30% มื้อกลางวัน 40% มื้อบ่าย 10% มื้อเย็น 10% ขณะที่สัดส่วนรายได้มาจากอาหาร 60% และเครื่องดื่ม 40% จากเดิม 35% โดยกาแฟใหม่นี้สามารถเพิ่มลูกค้าออฟฟิศถึง 10%
แผนขยายสาขาปีนี้จะมีอีกประมาณ 3 แห่ง เน้นเปิดตามออฟฟิศ และตามโรงพยาบาล เป็นหลักซึ่งเป็นจุดเด่นของโอบองแปง (ปัจจุบันมีสาขาในโรงพยาบาล 10 แห่ง) ส่วนครึ่งปีแรกยังไม่ได้เปิด ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 40 สาขา อยู่ในต่างจังหวัด 4 แห่งคือที่ภูเก็ต2 แห่ง และพัทยา 2 แห่ง และอยู่ระหว่างการหาทำเลเพื่อเปิดเพิ่มอีก ส่วนในกรุงเทพฯจะลดขนาดสาขาลงเหลือ 100 ตร.ม.กำลังเหมาะ จากเดิมที่มีขนาด 100-200 ตร.ม. ซึ่งเดิมเฉลี่ยแล้วเปิด 3-4 สาขาต่อปี
นางวิภากล่าวต่อว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตที่ 3-5% เป็นการปรับลดลงจากเดิมเมื่อต้นปีนี้ตั้งไว้ที่ 10% เนื่องจากว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ การรักษาฐานเก่าได้ก็นับว่าดีแล้ว อย่างไรก็ตามโอบองแปงไทยถือว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตที่ โดย 12 ปี มี 40 สาขา รองจากโอบองแปงอเมริกา ที่มีมากกว่า 200 สาขา รวมทั่วโลกมี 250 สาขา