xs
xsm
sm
md
lg

เจ๊บเซ่นซุ่มแผนลุยกล้องดิจิตอล อัด 110 ล.เพิ่มแชร์โอลิมปัส-คาสิโอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เจ๊บเซ่น” ซุ่มลุยหนักตลาดกล้องดิจิตอล ลั่นปีนี้เพิ่มแชร์โอลิมปัส เป็น 18% พร้อมอัดงบตลาดกว่า 95 ล้านบาท ขณะที่แบรนด์คาสิโอตั้งเป้าแชร์ 5% ด้วยงบตลาด 15 ล้านบาท เผยชะลอแผนรุกกล้องเบนคิว

นายจรัสพงษ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เจ็บเซ่น แอนด์ เจ็สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายกล้องแบรนด์โอลิมปัส, แบรนด์คาสิโอ และแบรนด์เบนคิว ในไทย เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่า แผนการทำตลาดกล้องดิจิตอลของบริษัทในปีนี้ จะเดินหน้ารุกตลาดมากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันส่วนแบ่งตลาดโอลิมปัสเพิ่มเป็น 18% ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 16% เพิ่มขึ้นมาจากเมื่อปลายปีที่แล้วที่มีเพียง 11%

โดยมีแผนที่จะออกกล้องรุ่นใหม่ๆเพื่อมากระตุ้นตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 14 รุ่นจากปัจจุบันที่มีจำหน่ายประมาณ 29 รุ่นแล้ว และตั้งงบการตลาดของแบรนด์โอลิมปัสไว้ที่ 95 ล้านบาท ซึ่งมาจากทั้งสองบริษัท คือ บริษัทแม่โอลิมปัสเอง และบริษัท เจ๊บเซ่น เป็นงบตลาดที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ใช้ประมาณ 40 กว่าล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ตลาดกล้องดิจิตอลนี้ มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นตลอดเวลา และโอลิมปัสยังเป็นแบรนด์หลักของบริษัทอีกด้วย

ส่วนกล้องดิจิตอลแบรนด์คาสิโอนั้น ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีนี้จะพยายามผลักดันส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาเป็น 5% ของตลาดรวม ขณะที่ปัจจุบันนี้คาสิโอมีส่วนแบ่งตลาดกล้องดิจิตอลประมาณ 3% เท่านั้นเอง ซึ่งมีแผนที่จะออกวางตลาดกล้องคาสิโอใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 5 รุ่นในปีนี้ ซึ่งจะทยอยออกเป็นช่วงๆ ให้เหมาะสมกับตลาด โดยปีนี้ตั้งงบการตลาดกล้องดิจิตอลคาสิโอไว้ที่ 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้วที่ใช้ประมาณ 5 ล้านบาท

นายจรัสพงษ์ มองว่า สาเหตุที่ต้องเพิ่มงบการตลาดมากขึ้นรวม 2 แบรนด์กว่า 110 ล้านบาท และการทำตลาดที่มากขึ้นทั้งสองแบรนด์ เนื่องจากว่า ในจังหวะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ผู้ประกอบการหลายแบรนด์อาจจะลดงบการตลาดลง ลดการออกสินค้าใหม่ จึงน่าจะเป็นโอกาสที่แบรนด์อื่นจะทำตลาดมากขึ้น และเพิ่มงบตลาดเพื่อตอกย้ำแบรนด์มากขึ้น ดึงดูดตลาดจากผู้บริโภคให้มากขึ้นนั่นเอง โดยคาดหวังว่า รายได้รวมของแต่ละแบรนด์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปีที่แล้วบริษัทมียอดขายกล้องโอลิมปัสประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนกล้องคาสิโอนั้นมียอดขายประมาณ 500 ล้านบาท

นายจรัสพงษ์ กล่าวด้วยว่า บริษัทยังมีกล้องดิจิตอลอีกแบรนด์ คือ เบนคิว จากไต้หวัน แต่ในปีนี้อาจจะชะลอการทำตลาดลง แต่ก็ยังจัดจำหน่ายอยู่ เนื่องจากตลาดรวมแข่งขันสูง อีกทั้งเบนคิวเองก็ต้องการที่จะปรับแผนใหม่ เพราะมีต้นทุนราคาค่อนข้างสูง ขณะที่ด้านช่องทางจำหน่ายนั้น ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางจำหน่ายสินค้าที่ครอบคลุมมากกว่า 85% ซึ่งแผนการเพิ่มช่องทางขายคงมีไม่มากนัก แต่จะหันมามุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการขายในแต่ละช่องทางเป็นหลัก

ทางด้านบริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ประเมินว่า กล้องดิจิตอลมีบทบาทกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคมากขึ้น ใกล้เคียงกับโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ผู้ชอบการเดินทางท่องเที่ยวและกลุ่มสตรีและรูปลักษณ์ก็มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น โดยเฉพาะกล้องดิจิตอล คอมแพกต์ ซึ่งตัวเครื่องจะมีสีสัน รูปทรงบาง น้ำหนักเบา ส่วนเรื่องราคาจำหน่ายนั้นก็มีการปรับลดลงมาต่อเนื่อง 14-15% ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคซื้อง่ายขึ้น

โดยที่ราคาขายกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์ ในปี 2552 นี้ จะมีการปรับลดลงจากปีก่อนหน้าเฉลี่ย 20% และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันเทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานจะถูกพัฒนามากขึ้น ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบครัน ส่งผลต่ออุปกรณ์ถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ ขาตั้งกล้อง กระเป๋าใส่กล้อง ได้รับอานิสงส์ไปด้วย

จากตัวเลขไตรมาสแรกปี 2552 พบว่า กล้องดีเอสแอลอาร์ ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงที่สุดใน 3 กลุ่มสินค้า คือ 1.กล้องดิจิตอล 2.มือถือ และ 3.คอมพิวเตอร์พกพา โน้ตบุ๊ก เน็ตบุ๊ก โดยกล้องดีเอสแอลอาร์ มีราคาโดยเฉลี่ยของกล้องที่ระดับราคาต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง และดีเอสแอลอาร์ยังคงมาแรง ซึ่งราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5,000-25,000 บาท โดยมีสัดส่วนทางการตลาดอยู่ที่ 15-20% ซึ่งส่งผลให้อุปกรณ์เสริมของกล้องดีเอสแอลอาร์ อาทิ เลนส์ แฟลช ยังได้รับความนิยมสูงเพิ่มขึ้นตามลำดับและประมาณการกันว่า สินค้ากล้องจะเติบโตขึ้น 4%
กำลังโหลดความคิดเห็น