ตลาดกล้องดิจิตอลยังแรงอยู่ “แคนนอน” สบช่องโกยรายได้เพิ่ม อัดอีเวนต์เพิ่มความถี่อีก 50% บุก ตจว.พร้อมปล่อยกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่อีกกว่า 10 รุ่น มั่นใจสิ้นปีโตอีก 10-15% หรือกว่า 3,400 ล้านบาท
นายวรินทร์ ตันติพงศ์พานิช ผู้อำนวยการอาวุโส และ ผู้จัดการทั่วไปส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีนี้ มองว่า สินค้าในกลุ่มไอทีมีแนวโน้มเติบโตมากที่สุด โดยเฉพาะต่างจังหวัด เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีดีมานท์อยู่อีกมาก ยอดขายก็ดีกว่าในกรุงเทพฯ ขายง่ายกว่า เพราะลูกค้าไม่เรื่องมาก จุดขายมีน้อย ไม่ต้องใช้กลยุทธ์การขายแรงเท่าในกรุงเทพฯ
โดยภาพรวมรายได้จากสินค้าในกลุ่มไอทีนี้ ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่า ยอดขายยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ เนื่องจากแผนกงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น ซึ่งจะดูแลสินค้าอยู่ 2 ตัว หลักๆ คือ กล้องดิจิตอล และพรินเตอร์ ในปีนี้จะใช้กลยุทธ์หลักๆ คือ การจัดอีเวนต์ และกิจกรรมต่างๆ มุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น ภายในงบการตลาดที่ใช้เท่าปีก่อน ประมาณ 10% ของเป้ารายได้ ซึ่งปีนี้จะใช้เม็ดเงินให้เกิดคุณค่าและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ ในส่วนของกล้องดิจิตอลนั้น จากครึ่งปีแรกได้เปิดตัวไปแล้ว 16 รุ่น ครึ่งปีหลังนี้ บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวเพิ่มเข้ามาอีกราว 10 รุ่น พร้อมเน้นหนักในส่วนของกิจกรรมและอีเวนต์ส่งเสริมการขายในต่างจังหวัด โดยเพิ่มจำนวนอีเว้นท์อีก 50% เชื่อว่า จะส่งผลให้ในสิ้นปีนี้ รายได้จากกล้องดิจิตอลจะเติบโตได้ตามเป้า 15% จากที่วางไว้ หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 3,300-3,400 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 3,000 ล้านบาท มาจากกรุงเทพฯ 70% และต่างจังหวัด 30% โดยรายได้จากกล้องดิจิตอลเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างยอดขายให้บริษัทมากสุดถึง 50% รองลงมา คือ พรินเตอร์ 30-35% และอุปกรณ์สำนักงานอีก 15%
นายวรินทร์ กล่าวต่อว่า ครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่า กำลังซื้อจะเริ่มกลับมา เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 นั้น มั่นใจว่า ตลาดกล้องดิจิตอลจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล อีกทั้งลูกค้าพร้อมที่จะใช้จ่าย หลังจากที่ชะลอการซื้อมานาน ทั้งนี้ มองว่า กลุ่มกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์จะมาแรง คาดว่ายอดขายในไตรมาสสุดท้ายนี้ภาพรวมตลดกล้องดิจิตอลจะเติบโตเพิ่มขึ้นราว 30% เทียบกับช่วงเวลาปกติ หรือในภาพรวมตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ คาดว่า จะยังมีอัตราการเติบโตได้ถึง 15% แม้ว่าการแข่งขันกล้องดิจิตอลปีนี้จะไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมาก็ตาม
นายวรินทร์ ตันติพงศ์พานิช ผู้อำนวยการอาวุโส และ ผู้จัดการทั่วไปส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีนี้ มองว่า สินค้าในกลุ่มไอทีมีแนวโน้มเติบโตมากที่สุด โดยเฉพาะต่างจังหวัด เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีดีมานท์อยู่อีกมาก ยอดขายก็ดีกว่าในกรุงเทพฯ ขายง่ายกว่า เพราะลูกค้าไม่เรื่องมาก จุดขายมีน้อย ไม่ต้องใช้กลยุทธ์การขายแรงเท่าในกรุงเทพฯ
โดยภาพรวมรายได้จากสินค้าในกลุ่มไอทีนี้ ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่า ยอดขายยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ เนื่องจากแผนกงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น ซึ่งจะดูแลสินค้าอยู่ 2 ตัว หลักๆ คือ กล้องดิจิตอล และพรินเตอร์ ในปีนี้จะใช้กลยุทธ์หลักๆ คือ การจัดอีเวนต์ และกิจกรรมต่างๆ มุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น ภายในงบการตลาดที่ใช้เท่าปีก่อน ประมาณ 10% ของเป้ารายได้ ซึ่งปีนี้จะใช้เม็ดเงินให้เกิดคุณค่าและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ ในส่วนของกล้องดิจิตอลนั้น จากครึ่งปีแรกได้เปิดตัวไปแล้ว 16 รุ่น ครึ่งปีหลังนี้ บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวเพิ่มเข้ามาอีกราว 10 รุ่น พร้อมเน้นหนักในส่วนของกิจกรรมและอีเวนต์ส่งเสริมการขายในต่างจังหวัด โดยเพิ่มจำนวนอีเว้นท์อีก 50% เชื่อว่า จะส่งผลให้ในสิ้นปีนี้ รายได้จากกล้องดิจิตอลจะเติบโตได้ตามเป้า 15% จากที่วางไว้ หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 3,300-3,400 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 3,000 ล้านบาท มาจากกรุงเทพฯ 70% และต่างจังหวัด 30% โดยรายได้จากกล้องดิจิตอลเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างยอดขายให้บริษัทมากสุดถึง 50% รองลงมา คือ พรินเตอร์ 30-35% และอุปกรณ์สำนักงานอีก 15%
นายวรินทร์ กล่าวต่อว่า ครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่า กำลังซื้อจะเริ่มกลับมา เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 นั้น มั่นใจว่า ตลาดกล้องดิจิตอลจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล อีกทั้งลูกค้าพร้อมที่จะใช้จ่าย หลังจากที่ชะลอการซื้อมานาน ทั้งนี้ มองว่า กลุ่มกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์จะมาแรง คาดว่ายอดขายในไตรมาสสุดท้ายนี้ภาพรวมตลดกล้องดิจิตอลจะเติบโตเพิ่มขึ้นราว 30% เทียบกับช่วงเวลาปกติ หรือในภาพรวมตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ คาดว่า จะยังมีอัตราการเติบโตได้ถึง 15% แม้ว่าการแข่งขันกล้องดิจิตอลปีนี้จะไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมาก็ตาม