ดั๊บเบิ้ล เอ ชี้อุตสาหกรรมกระดาษปีหน้าฟื้น โอดรายได้ไตรมาสแรกโต 2% ต่ำสุดนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ควงกลยุทธ์พาร์ทเนอร์ชิป มาร์เก็ตติ้ง จับมือสหพัฒน์ส่งแคมเปญ ซื้อกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ 1 ริม แถมมาม่ารสซุปไก่ 1 ซอง เร่งดันยอดขาย หลังสิ้นปีต้องปรับเป้าโตจาก 10% เหลือ 5%
นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่บริษัทมียอดขายเติบโตขึ้นเพียง 2% นับว่าเป็นยอดขายที่ต่ำที่สุดตั้งแต่บริษัทดำเนินการมา ดังนั้นบริษัทต้องปรับเป้าเติบโตสิ้นปีนี้ของบริษัทลงเหลือ 5% จาก 10%
อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พบว่ายอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทคาดว่าหากยอดการสั่งซื้อในเดือน มิ.ย. เป็นตัวเลขที่ดี ภายในไตรมาส 3 นี้ บริษัทอาจจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษ หลังจากลดกำลังการผลิตลงแล้ว 10% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมกระดาษในปี 2552 คาดสิ้นปีจะมีอัตราการเติบโตเท่าๆกับปี 2551 อยู่ที่ 5 % ปรับตัวลดลงจากการที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ในต้นปีว่าอุตสาหกรรมต่างๆ เติบโต 7-8% ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจขาลงทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามคาดปี 2553 อุตสาหกรรมกระดาษน่าเริ่มจะปรับตัวดี ขึ้น เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิอาจจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ล่าสุดบริษัทดำเนินการตามกลยุทธ์ใหม่ คือ การทำการตลาดแบบ พาร์ทเนอร์ชิป มาร์เก็ตติ้ง หรือการทำการตลาดร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยร่วมมือกับบริษัท สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า จัดแคมเปญ ซื้อกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ 1 ริม แถมมาม่ารสซุปไก่ 1 ซอง บริษัท ตั้งเป้าที่จะแจกมาม่าให้ได้ 1 ล้านซอง ภายใน 2 เดือน คือเดือน มิ.ย. – ก.ค. นี้
“การจัดแคมเปญดังกล่าว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายภายในประเทศให้เติบโตขึ้นในทิศทางที่ดี และหลังจากหมดแคมเปญนี้แล้วทางบริษัทก็มีแผนที่จะจัดแคมเปญแจกสินค้าฟรีเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีก ผ่านพันธมิตรรายเก่าและรายใหม่”
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า หลังจากทดลองเปิดมุมถ่ายเอกสารตามร้านทั่วไป หรือดั๊บเบิ้ล เอ คอนเนอร์ช็อป พบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนทั่วไปเพื่อทำเป็นรายได้เสริม ปัจจุบันเปิดดำเนินการไปแล้ว 180 สาขา จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 200 สาขา ทำให้บริษัทต้องปรับเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 400 – 500 สาขา ภายในสิ้นปีนี้
ดังนั้นบริษัทเล็งเห็นว่าโครงสร้างธุรกิจ มุมถ่ายเอกสารเป็นธุรกิจที่ดีในการสร้างรายได้ บริษัทจึงวางแผนที่จะนำรูปแบบธุรกิจดังกล่าวเข้าไปดำเนินการในต่างประเทศที่บริษัทส่งกระดาษไปจำหน่าย โดยเห็นว่า ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุด
สำหรับสัดส่วนยอดขายของบริษัท แบ่งเป็นยอดขายจากการส่งออก และการจำหน่ายภายในประเทศในสัดส่วนที่เท่ากันที่อย่างละ 50% โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทพบว่ายอดขายจากต่างประเทศเติบโตดีกว่า ยอดขายภายในประเทศ โดยยอดขายจากต่างประเทศโต 4% ในขณะที่ยอดขายภายในประเทศโตกว่า 1%
นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ดั๊บเบิ้ล เอ เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่บริษัทมียอดขายเติบโตขึ้นเพียง 2% นับว่าเป็นยอดขายที่ต่ำที่สุดตั้งแต่บริษัทดำเนินการมา ดังนั้นบริษัทต้องปรับเป้าเติบโตสิ้นปีนี้ของบริษัทลงเหลือ 5% จาก 10%
อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พบว่ายอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทคาดว่าหากยอดการสั่งซื้อในเดือน มิ.ย. เป็นตัวเลขที่ดี ภายในไตรมาส 3 นี้ บริษัทอาจจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษ หลังจากลดกำลังการผลิตลงแล้ว 10% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมกระดาษในปี 2552 คาดสิ้นปีจะมีอัตราการเติบโตเท่าๆกับปี 2551 อยู่ที่ 5 % ปรับตัวลดลงจากการที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ในต้นปีว่าอุตสาหกรรมต่างๆ เติบโต 7-8% ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจขาลงทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามคาดปี 2553 อุตสาหกรรมกระดาษน่าเริ่มจะปรับตัวดี ขึ้น เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิอาจจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ล่าสุดบริษัทดำเนินการตามกลยุทธ์ใหม่ คือ การทำการตลาดแบบ พาร์ทเนอร์ชิป มาร์เก็ตติ้ง หรือการทำการตลาดร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยร่วมมือกับบริษัท สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า จัดแคมเปญ ซื้อกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ 1 ริม แถมมาม่ารสซุปไก่ 1 ซอง บริษัท ตั้งเป้าที่จะแจกมาม่าให้ได้ 1 ล้านซอง ภายใน 2 เดือน คือเดือน มิ.ย. – ก.ค. นี้
“การจัดแคมเปญดังกล่าว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายภายในประเทศให้เติบโตขึ้นในทิศทางที่ดี และหลังจากหมดแคมเปญนี้แล้วทางบริษัทก็มีแผนที่จะจัดแคมเปญแจกสินค้าฟรีเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีก ผ่านพันธมิตรรายเก่าและรายใหม่”
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า หลังจากทดลองเปิดมุมถ่ายเอกสารตามร้านทั่วไป หรือดั๊บเบิ้ล เอ คอนเนอร์ช็อป พบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนทั่วไปเพื่อทำเป็นรายได้เสริม ปัจจุบันเปิดดำเนินการไปแล้ว 180 สาขา จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 200 สาขา ทำให้บริษัทต้องปรับเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 400 – 500 สาขา ภายในสิ้นปีนี้
ดังนั้นบริษัทเล็งเห็นว่าโครงสร้างธุรกิจ มุมถ่ายเอกสารเป็นธุรกิจที่ดีในการสร้างรายได้ บริษัทจึงวางแผนที่จะนำรูปแบบธุรกิจดังกล่าวเข้าไปดำเนินการในต่างประเทศที่บริษัทส่งกระดาษไปจำหน่าย โดยเห็นว่า ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุด
สำหรับสัดส่วนยอดขายของบริษัท แบ่งเป็นยอดขายจากการส่งออก และการจำหน่ายภายในประเทศในสัดส่วนที่เท่ากันที่อย่างละ 50% โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทพบว่ายอดขายจากต่างประเทศเติบโตดีกว่า ยอดขายภายในประเทศ โดยยอดขายจากต่างประเทศโต 4% ในขณะที่ยอดขายภายในประเทศโตกว่า 1%
