นายกฯ ชี้แจง 3 แนวทางการทำงาน หลังยุติเหตุการณ์รุนแรงในบ้านเมือง โดยจะเร่งฟื้นฟูภาพล้กษณ์ประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และคลายปมความขัดแย้งในชาติ ภายใน 1 ปี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เผยถึงแนวทางการทำงาน 3 ขั้นตอนของรัฐบาล หลังการประชุมร่วม 2 สภา เพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง และการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง โดยระบุว่า ต่อจากนี้ไป รัฐบาลจะเร่งดำเนินการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แก้ไขความตึงเครียดทางการเมืองและความขัดแย้ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นราว 1 ปี
“แนวทางกว้างๆ ที่จะดำเนินการต่อไป 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1.เร่งฟื้นฟูชื่อเสียงของประเทศไทยในสายตาชาวโลก รวมถึงการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา 2.การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ 3.ผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองและแก้ไขความขัดแย้ง ซึ่งทั้งหมดนี้จะใช้เวลาในการดำเนินการทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างดีที่สุดและเร็วที่สุด”
รายงานข่าวจากเว็บไซต์สำนักโฆษก ยังระบุคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีถึงกรอบเวลา และแนวทางดำเนินการต่อจากนี้ ที่มีต่อสาธุคุณ Jesse Jackson นักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกัน ซึ่งเข้าเยี่ยมคารวะที่ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ สาธุคุณ Jesse Jackson เป็นสาธุคุณนิกาย Baptist และนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกัน ที่มีบทบาทมากในสังคมชาวอเมริกันผิวดำ และเป็นผู้ก่อตั้ง Rainbow/PUSH Coalition ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนของคนอเมริกัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทย และกล่าวถึงการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในวันนี้ พร้อมทั้งขอบคุณทางการสหรัฐฯ ที่มีความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ และไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ ซึ่งรัฐบาลไทยจะแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างดีที่สุด โดยยึดหลักกฎหมายและความชอบธรรม
รายงานข่าวยังระบุว่า สาธุคุณ Jesse Jackson ได้กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรี และสอบถามเกี่ยวกับทางออกทางการเมือง ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยจะใช้หน่วยงานที่เป็นกลางทางการเมืองมาเป็นตัวกลางในการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งในขณะนี้ทางสถาบันพระปกเกล้าน่าจะมีความเหมาะสมที่สุด โดยนายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับผู้ชุมนุมประท้วงใน 2 ประเด็น คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมในบางเรื่อง ซึ่งสาธุคุณ Jesse Jackson ได้เสนอให้รัฐบาลไทยดึงคนในสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องไม่ลืมการพัฒนาพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะด้านการศึกษา เยาวชน และผู้สูงอายุ ควบคู่ไปด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายเรียนฟรี 15 ปี และการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ในตอนท้าย สาธุคุณ Jesse Jackson ได้แสดงความประทับใจและกล่าวชื่นชม นายกรัฐมนตรีว่า มีความคล้ายคลึงกับประธานาธิบดี โอบามา เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ชีวิตในต่างประเทศ ทำให้มีวิสัยทัศน์กว้าง มีแนวทาง และกรอบการทำงานที่ชัดเจน