หอการค้าฯ ผวาม็อบไข่แม้วแดงคลั่งบุกบ้านป๋า-จุดไฟสงครามกลางเมือง กระทุ้งรัฐบาลต้องใช้กฎหมายควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยยกบทเรียนกรณีทุบรถนายกฯ ที่พัทยา กระทบการเป็นเจ้าภาพประชุม อาเซียน+3 และอาเซียน+6 เพราะผู้นำต่างประเทศ ไม่มั่นใจความปลอดภัย ชี้ชัด หากรุนแรง-ยืดเยื้อ ประเทศบอบช้ำแน่ ด้านประธาน ส.อ.ท.แนะประชาชนให้ใช้วิจารณญาณ พร้อมยืนยัน ภาคเอกชนไม่ต้องการเห็นการใช้ความรุนแรง
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เคลื่อนการชุมนุมไปที่หน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยระบุว่า ภาคเอกชนรู้สึกกังวลและไม่ต้องการเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรควบคุมการชุมนุมไม่ให้ยืดเยื้อและจบลงโดยเร็ว
“ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียน +3 และอาเซียน +6 ในวันที่ 10-12 เมษายน 2552 นี้ ซึ่งหากการชุมนุมยืดเยื้อและรุนแรงจะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะการประชุมครั้งนี้ มีบุคคลสำคัญเดินทางเข้ามาร่วมประชุม ได้แก่ เลขาธิการองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เลขาธิการที่ประชุมว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) หากมีปัญหาจะกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ”
กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าฯ ยกตัวอย่างเหตุรุนแรงกรณีเกิดเหตุทุบรถของนายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ หากมีการใช้คาร์บอม หรืออาวุธปืนขึ้น อาจเกิดความเสียหายที่ยากเกินแก้ ดังนั้น รัฐบาลควรใช้กฎหมายเข้ามาควบคุมอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมป้องกันไม่ให้เกิดการยึดทำลายสถานที่ราชการ
ด้าน นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เชื่อว่า ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง เพราะผู้ชุมนุมจะใช้วิจารณญาณในการเข้าร่วมชุมนุม ซึ่งภาคเอกชนยังยืนยันข้อเรียกร้องเดิมที่ไม่ต้องการให้มีการใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ชุมนุมหรือฝ่ายรัฐ และขอให้การดำเนินการต่างๆ ยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ การประชุม กรอ.ภาคเอกชนจะมีการหารือกับภาครัฐถึงการจัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตาม การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) การเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ การแก้ไขปัญหานำเข้าสินค้าเหล็ก การแก้ไขกฎชหมายศุลกากร รวมถึงการติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหามลพิษในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด