ปิดตำนานปั๊มน้ำมันเจ็ทในเมืองไทย 10 มิ.ย.นี้ หลังจาก ปตท.ซื้อกิจการเมื่อปี 50 ก่อนรีแบรนด์ปั๊มน้ำมันเจ็ทเป็น ปตท.ครบทั้งหมด 146 แห่งทั่วประเทศ แต่ยังคงร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่เอาไว้ เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่ยึดติดการให้บริการของเจ็ท ซึ่งการปรับโฉมการให้บริการใหม่ภายใต้คอนเซปต์ Platinum Gas Station ช่วยเพิ่มยอดขายน้ำมันและร้านค้าภายในปั๊มสูงขึ้น
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ดำเนินการปรับโฉม (รีแบรนด์) สถานีบริการน้ำมันเจ็ทจำนวน 146 ปั๊ม เป็นสถานีบริการน้ำมัน ปตท.แทน ภายหลังจากได้ซื้อกิจการปั๊มน้ำมันเจ็ทตั้งแต่เดือน มิ.ย.2550 โดยยังคงร้านสะดวกซื้อภายใต้ “จิฟฟี่” ไว้เช่นเดิม ส่งผลให้ ปตท.มีปั๊มน้ำมันทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 1,300 แห่ง โดย ปตท.จะดำเนินการปรับปรุงปั๊มน้ำมันเดิมหากพบว่าปั๊มไม่มีศักยภาพพอหรือหมดสัญญาก็จะยกเลิกไป สุดท้ายคงเหลือปั๊มน้ำมันเพียง 1,200 แห่ง
ภายหลังจากปั๊มน้ำมันเจ็ทปรับโฉมการให้บริการแบบเต็มรูปแบบทั้งสถานีบริการน้ำมันและร้านสะดวกซื้อภายใต้คอนเซ็ป Platinum Gas Station เพื่อมุ่งหวังตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าที่ชอบการให้บริการของเจ็ท โดยปีที่แล้วได้เปิดให้บริการไป 4 สถานี พบว่า ยอดขายน้ำมันและร้านสะดวกซื้อเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งเป็นปั๊มน้ำมันเจ็ทถึง 12-52% คาดว่า ปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 3 แห่ง รวมเป็น 7 แห่ง ใช้เงินลงทุนในการปรับโฉมเป็น Platinum Gas Station แห่งละ 20 ล้านบาท
“จากการเข้ามาควบรวมกิจการของปั๊มน้ำมันเจ็ท และร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ ของ ปตท.โดยจัดตั้งบริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด เพื่อดูแลเครือข่ายดังกล่าว ทำให้เกิด Synergy ของธุรกิจมากขึ้น ซึ่งช่วยภาพลักษณ์ของปั๊มน้ำมัน ปตท.ดีขึ้น ทั้งนี้ ปตท.ยังคงร้านจิฟฟี่ในปั๊มเจ็ทที่เปลี่ยนเป็นแบรนด์ ปตท.เช่นเดิม โดยไม่มีแผนจะนำร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ไปแทนที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในปั๊มน้ำมัน ปตท.เดิม เพราะบริษัทได้มีการทำสัญญากับ 7-11 แม้ว่าสัญญาดังกล่าวจะหมดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปตท.ก็คงจะต่อสัญญากับ 7-11 เนื่องจากเป็นร้านสะดวกซื้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ โดย ปตท.ไม่มีแผนจะทำร้านสะดวกซื้อเอง”
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่า บริษัทจะมีการยกระดับการให้บริการปั๊มน้ำมันภายใต้รูปแบบ Platinum Gas Station ส่งผลให้ลูกค้าหันมาใช้บริการมากขึ้น แต่ปตท.ไม่ต้องการที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ 35-36% เนื่องจากต้องการให้ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันเพื่อผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูงสุด
ส่วน ค่าการตลาดน้ำมันขณะนี้ลดต่ำลง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับขึ้น โดยล่าสุด ค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 80 สตางค์ต่อลิตร และค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน อยู่ที่ 40 ส.ต./ลิตร เท่านั้น แต่จะมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันในประเทศหรือไม่ คงต้องดูภาพรวมอีกครั้ง
สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ยอมรับว่า ปัญหาทางการเมืองมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่เชื่อมั่นว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหา และสามารถสร้างความเข้าใจกันได้ในที่สุด โดยเหตุการณ์คงจะไม่มีการบานปลาย รัฐบาลน่าจะดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ เชื่อว่า ความขัดแย้งในที่สุดก็น่าจะมีทางออกได้
นายกฤษณะพล โกมลบุณย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด กล่าวว่า ในวันที่ 10 มิ.ย.นี้จะเป็นการปิดตำนานปั๊มน้ำมันเจ็ทในไทย โดยจะมีการทำการปลดป้ายปั๊มน้ำมันเจ็ทแห่งสุดท้ายลง เพื่อเปลี่ยนเป็นปั๊มปตท.แทน โดยบริษัทฯมีแผนจะปรับโฉมปั๊มน้ำมันเจ็ทภายใต้คอนเซ็ป Platinum Gas Station จำนวน 100 ปั๊ม จากจำนวนทั้งสิ้น 146 แห่ง ใช้เงินลงทุนปั๊มละ 20 ล้านบาท โดยจะคืนทุนภายใน 3 ปี
นายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากกระทรวงพลังงานไม่เลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันใหม่ซึ่งเป็นมาตรฐานสหภาพยุโรประดับที่ 4 หรือ ยูโร 4 จากที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.2555 ก็คงไม่มีปัญหาเนื่องจากโรงกลั่นในเครือปตท.ทั้งโรงกลั่นไทยออยล์และโรงกลั่นบางจากสามารถผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ได้อยู่แล้ว ขณะที่โรงกลั่นอื่นๆเช่น โรงกลั่นของปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่นและโรงกลั่นของไออาร์พีซีอาจไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนติดตั้งหน่วยผลิตยูโร 4 ก็สามารถสว็อปน้ำมันระหว่างกันได้ เพราะภาพรวมในปีนี้ไทยยังต้องส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศอยู่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ปตท.ได้มีการหารือร่วมกันกับโรงกลั่นในเครือฯว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร คาดว่า จะได้ข้อสรุปในกลางปีนี้ เนื่องจากช่วงนี้ค่าก่อสร้างได้ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 30% คงต้องพิจารณาว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่ในการลงทุนช่วงนี้ แต่สุดท้ายทุกโรงกลั่นก็ต้องมีการลงทุนเพื่อให้ได้น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ดำเนินการปรับโฉม (รีแบรนด์) สถานีบริการน้ำมันเจ็ทจำนวน 146 ปั๊ม เป็นสถานีบริการน้ำมัน ปตท.แทน ภายหลังจากได้ซื้อกิจการปั๊มน้ำมันเจ็ทตั้งแต่เดือน มิ.ย.2550 โดยยังคงร้านสะดวกซื้อภายใต้ “จิฟฟี่” ไว้เช่นเดิม ส่งผลให้ ปตท.มีปั๊มน้ำมันทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 1,300 แห่ง โดย ปตท.จะดำเนินการปรับปรุงปั๊มน้ำมันเดิมหากพบว่าปั๊มไม่มีศักยภาพพอหรือหมดสัญญาก็จะยกเลิกไป สุดท้ายคงเหลือปั๊มน้ำมันเพียง 1,200 แห่ง
ภายหลังจากปั๊มน้ำมันเจ็ทปรับโฉมการให้บริการแบบเต็มรูปแบบทั้งสถานีบริการน้ำมันและร้านสะดวกซื้อภายใต้คอนเซ็ป Platinum Gas Station เพื่อมุ่งหวังตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าที่ชอบการให้บริการของเจ็ท โดยปีที่แล้วได้เปิดให้บริการไป 4 สถานี พบว่า ยอดขายน้ำมันและร้านสะดวกซื้อเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งเป็นปั๊มน้ำมันเจ็ทถึง 12-52% คาดว่า ปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 3 แห่ง รวมเป็น 7 แห่ง ใช้เงินลงทุนในการปรับโฉมเป็น Platinum Gas Station แห่งละ 20 ล้านบาท
“จากการเข้ามาควบรวมกิจการของปั๊มน้ำมันเจ็ท และร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ ของ ปตท.โดยจัดตั้งบริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด เพื่อดูแลเครือข่ายดังกล่าว ทำให้เกิด Synergy ของธุรกิจมากขึ้น ซึ่งช่วยภาพลักษณ์ของปั๊มน้ำมัน ปตท.ดีขึ้น ทั้งนี้ ปตท.ยังคงร้านจิฟฟี่ในปั๊มเจ็ทที่เปลี่ยนเป็นแบรนด์ ปตท.เช่นเดิม โดยไม่มีแผนจะนำร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ไปแทนที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในปั๊มน้ำมัน ปตท.เดิม เพราะบริษัทได้มีการทำสัญญากับ 7-11 แม้ว่าสัญญาดังกล่าวจะหมดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปตท.ก็คงจะต่อสัญญากับ 7-11 เนื่องจากเป็นร้านสะดวกซื้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ โดย ปตท.ไม่มีแผนจะทำร้านสะดวกซื้อเอง”
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่า บริษัทจะมีการยกระดับการให้บริการปั๊มน้ำมันภายใต้รูปแบบ Platinum Gas Station ส่งผลให้ลูกค้าหันมาใช้บริการมากขึ้น แต่ปตท.ไม่ต้องการที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ 35-36% เนื่องจากต้องการให้ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันเพื่อผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูงสุด
ส่วน ค่าการตลาดน้ำมันขณะนี้ลดต่ำลง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับขึ้น โดยล่าสุด ค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 80 สตางค์ต่อลิตร และค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน อยู่ที่ 40 ส.ต./ลิตร เท่านั้น แต่จะมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันในประเทศหรือไม่ คงต้องดูภาพรวมอีกครั้ง
สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ยอมรับว่า ปัญหาทางการเมืองมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่เชื่อมั่นว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหา และสามารถสร้างความเข้าใจกันได้ในที่สุด โดยเหตุการณ์คงจะไม่มีการบานปลาย รัฐบาลน่าจะดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ เชื่อว่า ความขัดแย้งในที่สุดก็น่าจะมีทางออกได้
นายกฤษณะพล โกมลบุณย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด กล่าวว่า ในวันที่ 10 มิ.ย.นี้จะเป็นการปิดตำนานปั๊มน้ำมันเจ็ทในไทย โดยจะมีการทำการปลดป้ายปั๊มน้ำมันเจ็ทแห่งสุดท้ายลง เพื่อเปลี่ยนเป็นปั๊มปตท.แทน โดยบริษัทฯมีแผนจะปรับโฉมปั๊มน้ำมันเจ็ทภายใต้คอนเซ็ป Platinum Gas Station จำนวน 100 ปั๊ม จากจำนวนทั้งสิ้น 146 แห่ง ใช้เงินลงทุนปั๊มละ 20 ล้านบาท โดยจะคืนทุนภายใน 3 ปี
นายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากกระทรวงพลังงานไม่เลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันใหม่ซึ่งเป็นมาตรฐานสหภาพยุโรประดับที่ 4 หรือ ยูโร 4 จากที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.2555 ก็คงไม่มีปัญหาเนื่องจากโรงกลั่นในเครือปตท.ทั้งโรงกลั่นไทยออยล์และโรงกลั่นบางจากสามารถผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ได้อยู่แล้ว ขณะที่โรงกลั่นอื่นๆเช่น โรงกลั่นของปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่นและโรงกลั่นของไออาร์พีซีอาจไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนติดตั้งหน่วยผลิตยูโร 4 ก็สามารถสว็อปน้ำมันระหว่างกันได้ เพราะภาพรวมในปีนี้ไทยยังต้องส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศอยู่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ปตท.ได้มีการหารือร่วมกันกับโรงกลั่นในเครือฯว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร คาดว่า จะได้ข้อสรุปในกลางปีนี้ เนื่องจากช่วงนี้ค่าก่อสร้างได้ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 30% คงต้องพิจารณาว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่ในการลงทุนช่วงนี้ แต่สุดท้ายทุกโรงกลั่นก็ต้องมีการลงทุนเพื่อให้ได้น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4