วิกฤตตลาดยาหล่นฮวบ ปีนี้คาดโตเพียง 4-5% จาก 11-12% ต่อปี เหตุคนไข้ต่างชาติงดรักษาในไทย โรงพยาบาลชะลอออเดอร์การสั่งยา คาดบ.ยายักษ์ใหญ่ เตรียมถอนการลงทุน “เอไซ” มองเป็นโอกาส เดินหน้าทำตลาดเต็มที่ มุ่งส่งออก เกาะกระแสซีเอสอาร์ มั่นใจทั้งปียังกวาดรายได้โตอีก 20% จาก 1,400 ล้านบาทปีก่อน
เภสัชกร ทวีศักดิ์ สีทองสุรภณา ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไซ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนบริษัทยาจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย บริษัทคาดว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดยามูลค่า 80,000 ล้านบาท อาจจะเติบโตลดลงจากปีที่ผ่านมาบ้าง จากเดิมที่เติบโตราว 11-12% ปีนี้ทั้งปีคาดว่าจะโตเพียง 4-5% โดยเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าตลาดตกลงอย่างมาก คือ มีการเติบโตเพียง 1.9-2% เท่านั้น
สาเหตุหลักมาจากการที่กลุ่มผู้ป่วยจากต่างประเทศงดการเข้ามารักษาที่ประเทศไทย ซึ่งเหตุผลในการงดการเข้ามารักษานั้น อาจจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้หลายประเทศได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง ที่ราคาน้ำมันลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าออเดอร์ในการสั่งซื้อยาจากลูกค้าโรงพยาบาลมีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าอาจจะเป็นเรื่องของงบประมาณ การจัดการบริหารการจ่ายยาในสต๊อกให้หมดก่อน จึงค่อยมีการสั่งซื้อยาเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม จากสาเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เชื่อว่าจะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดมากขึ้น โดยจะเป็นการแข่งขันในเซกเม้นท์ย่อย หรือกลุ่มยาระดับโลคอล มองว่าครึ่งปีหลังจะมีการทำตลาดสูง เพราะยังพบอีกว่าพฤติกรรมผู้ป่วยคนไทยเองนั้น จะมีการพิจารณาในการเลือกใช้บริการโรงพยาบาล จากเดิมเป็นโรงพยาบาลเอกชน อาจจะเลือกเป็นโรงพยาบาลรัฐ หรือซื้อยารับประทานเองมากขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทยาชั้นนำจากต่างประเทศกว่า 35 บริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่เวลานี้นั้น ปีนี้มองว่าจะมีการชะลอการลงทุน หรืองดการทำตลาดในประเทศไทยลง เพราะต้องควบคุมดูแลการดำเนินธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลาดไหนเล็กก็ต้องหยุดทำตลาดลงไว้ก่อน
ส่งผลให้บริษัทมองเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ในการที่จะมุ่งเน้นทำการตลาดในประเทศ โดยปีนี้ทั้งปีได้วางงบการตลาดไว้กว่า 240 ล้านบาท จากปีก่อนใช้ไป 200 ล้านบาท มุ่งเน้นทำกิจกรรมและซีเอสอาร์อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นส่วนผลักดันที่สำคัญในการสร้างยอดขายในปีนี้
โดยปีงบประมาณของบริษัทฯที่ผ่านมา (เม.ย.51-มี.ค.52) บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 2% เป็นอันดับที่ 13 ของตลาด มียอดรายได้ราว 1,400 ล้านบาท เติบโต 30% ปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 20% แบ่งเป็นในประเทศ 88% และส่งออก 12% โดยรายได้ในประเทศนั้น จะเน้นทำตลาดในกลุ่มทั้งโรงพยาบาล และร้านขายยา เท่าๆกัน แม้ว่าสัดส่วนรายได้หลักจะมาจากโรงพยาบาลกว่า 80% และร้านขายยา 20% ขณะที่ส่งออก จากเดิมส่งออกไปยังเวียดนาม พม่า ปีนี้จะเพิ่มสิงคโปร์ มาเลเซีย เข้ามาด้วย เชื่อว่าส่งออกจะโตอีกราว 20%
ปัจจุบันเอไซ เป็นตัวแทนจำหน่ายยารักษาโรคเฉพาะทางจากประเทศญี่ปุ่น มีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มโรงพยาบาล โดยยาที่วิจัยและพัฒนาในการจำหน่ายนี้ จะเน้นเป็นกลุ่มยาสำหรับกลุ่มคนวัยชรา เช่น กลุ่มยาเกี่ยวกับโรคความจำเสื่อม กระดูกพรุน และทางเดินอาหาร โดยขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ยาอยู่ 11 เอสเคยู ซึ่งจัดเป็นยาเฉพาะทางที่จะต้องผ่านการวินิจฉัย และสั่งจ่ายยาจากแพทย์เสียก่อน
เภสัชกร ทวีศักดิ์ สีทองสุรภณา ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไซ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนบริษัทยาจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย บริษัทคาดว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดยามูลค่า 80,000 ล้านบาท อาจจะเติบโตลดลงจากปีที่ผ่านมาบ้าง จากเดิมที่เติบโตราว 11-12% ปีนี้ทั้งปีคาดว่าจะโตเพียง 4-5% โดยเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าตลาดตกลงอย่างมาก คือ มีการเติบโตเพียง 1.9-2% เท่านั้น
สาเหตุหลักมาจากการที่กลุ่มผู้ป่วยจากต่างประเทศงดการเข้ามารักษาที่ประเทศไทย ซึ่งเหตุผลในการงดการเข้ามารักษานั้น อาจจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้หลายประเทศได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง ที่ราคาน้ำมันลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าออเดอร์ในการสั่งซื้อยาจากลูกค้าโรงพยาบาลมีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าอาจจะเป็นเรื่องของงบประมาณ การจัดการบริหารการจ่ายยาในสต๊อกให้หมดก่อน จึงค่อยมีการสั่งซื้อยาเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม จากสาเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เชื่อว่าจะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดมากขึ้น โดยจะเป็นการแข่งขันในเซกเม้นท์ย่อย หรือกลุ่มยาระดับโลคอล มองว่าครึ่งปีหลังจะมีการทำตลาดสูง เพราะยังพบอีกว่าพฤติกรรมผู้ป่วยคนไทยเองนั้น จะมีการพิจารณาในการเลือกใช้บริการโรงพยาบาล จากเดิมเป็นโรงพยาบาลเอกชน อาจจะเลือกเป็นโรงพยาบาลรัฐ หรือซื้อยารับประทานเองมากขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทยาชั้นนำจากต่างประเทศกว่า 35 บริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่เวลานี้นั้น ปีนี้มองว่าจะมีการชะลอการลงทุน หรืองดการทำตลาดในประเทศไทยลง เพราะต้องควบคุมดูแลการดำเนินธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลาดไหนเล็กก็ต้องหยุดทำตลาดลงไว้ก่อน
ส่งผลให้บริษัทมองเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ในการที่จะมุ่งเน้นทำการตลาดในประเทศ โดยปีนี้ทั้งปีได้วางงบการตลาดไว้กว่า 240 ล้านบาท จากปีก่อนใช้ไป 200 ล้านบาท มุ่งเน้นทำกิจกรรมและซีเอสอาร์อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นส่วนผลักดันที่สำคัญในการสร้างยอดขายในปีนี้
โดยปีงบประมาณของบริษัทฯที่ผ่านมา (เม.ย.51-มี.ค.52) บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 2% เป็นอันดับที่ 13 ของตลาด มียอดรายได้ราว 1,400 ล้านบาท เติบโต 30% ปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 20% แบ่งเป็นในประเทศ 88% และส่งออก 12% โดยรายได้ในประเทศนั้น จะเน้นทำตลาดในกลุ่มทั้งโรงพยาบาล และร้านขายยา เท่าๆกัน แม้ว่าสัดส่วนรายได้หลักจะมาจากโรงพยาบาลกว่า 80% และร้านขายยา 20% ขณะที่ส่งออก จากเดิมส่งออกไปยังเวียดนาม พม่า ปีนี้จะเพิ่มสิงคโปร์ มาเลเซีย เข้ามาด้วย เชื่อว่าส่งออกจะโตอีกราว 20%
ปัจจุบันเอไซ เป็นตัวแทนจำหน่ายยารักษาโรคเฉพาะทางจากประเทศญี่ปุ่น มีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มโรงพยาบาล โดยยาที่วิจัยและพัฒนาในการจำหน่ายนี้ จะเน้นเป็นกลุ่มยาสำหรับกลุ่มคนวัยชรา เช่น กลุ่มยาเกี่ยวกับโรคความจำเสื่อม กระดูกพรุน และทางเดินอาหาร โดยขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ยาอยู่ 11 เอสเคยู ซึ่งจัดเป็นยาเฉพาะทางที่จะต้องผ่านการวินิจฉัย และสั่งจ่ายยาจากแพทย์เสียก่อน