ธุรกิจโฆษณาข่งขันรุนแรง “สปา” ควบรวม “ไทยฮาคูโฮโด” หวังสร้างความแข็งแกร่งสู้เอเจนซี่ระดับโลก มั่นใจเป็นช่วงดีแห่งการเปลี่ยนแปลง ดึงจุดแข็งเสิร์ฟลูกค้าได้ประโยชน์ฝ่าวิกฤต มั่นใจสิ้นปีรายได้โตแน่ 10% จากเม็ดเงินรวมไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท เผยรัฐบาลหว่านเงินอุ้มธุรกิจโฆษณาปีนี้ไม่ให้ถดถอยลง
นายกิตติ ชัมพุนท์พงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฟิวเจอร์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ในเครือบริษัท โอสถสภา โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการเจรจากับทางฮาคูโฮโด มากกว่า 3 ปี ในการควบรวมบริษัทกัน ซึ่งสรุปได้ในปีนี้ โดยจะเป็นการรวมกันระหว่าง สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง กับ ไทยฮาคูโฮโด ภายใต้ชื่อ บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป ทุนจดทะเบียน 53,404,500 ล้านบาท
โดยกลุ่มบริษัท ฟิวเจอร์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชั่นส์ (FMCG) ถือหุ้น 74.90% และบริษัท ฮาคูโฮโด เอเซียแปซิฟิค ถือหุ้น 25.10% ซึ่งเมื่อรวมธุรกิจเข้าด้วยกันได้ ประเมินรายได้เบื้องต้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท มาจากสปา 1,500 ล้านบาท และทางไทยฮาคูโฮโด 500 ล้านบาท มั่นใจว่า น่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างน้อยอีก 10% ในสิ้นปี
เดิมในส่วนของไทยฮาคูโฮโด และ ฮาคูโฮโด แบงคอก กลุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ ถือหุ้นอยู่แล้ว 51% ส่วนทางฮาคูโฮโด ถือหุ้น 49% แต่ทางบริษัทเลือกรวมบริษัทกับไทยฮาคูโฮโด ส่วนทางฮาคูโฮโด แบงคอก ยังคงทำงานเช่นเดิม
สำหรับการรวมบริษัทครั้งนี้ มองว่า จะช่วยเสริมให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านโนว์ฮาวต่างๆ ไอทีมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ถือเป็นจุดแข็งในการนำเสนอกับลูกค้าในปีนี้ เพื่อช่วยกันคิดวิธีการสื่อสารทางการตลาดใหม่ๆ ที่ดีมีประสิทธิภาพ เพราะลูกค้าที่มีอยู่มีทั้งบริษัทญี่ปุ่น มองว่า จะช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรม และวิธีชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์งานโฆษณาออกมาให้ตรงกับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งมองว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งที่จะแข่งขันได้ในตลาดเอเยนซีปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่เป็นเอเยนซีโฆษณาแบบข้ามชาติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยังจะช่วยให้การบุกตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น
ที่สำคัญ บริษัทต้องการให้ลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่น ได้รับประโยชน์สูงสุดที่ใช้บริการกับทางสปา-ฮาคูโฮโด รวมถึงเรียกลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามามากยิ่งขึ้น จากเดิม สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จะเน้นลูกค้าขนาดใหญ่ในประเทศ เช่น โอสถสภา, บุญรอด, ปตท.ส่วนทางไทยฮาคูโฮโด จะมีลูกค้าญี่ปุ่น เช่น พานาโซนิค โตชิบ้า และซูซูกิ
อย่างไรก็ตาม มองว่า หลังการรวมบริษัทแล้ว อาจจะมีการทับซ้อนกันบ้างทั้งในแง่ลูกค้า ที่อาจจะทับซ้อนกัน แต่ทางบริษัทเชื่อว่าจะสามารถอธิบายให้แก่ลูกค้าเข้าใจได้
**รัฐอุ้มธุรกิจโฆษณาให้ทรงตัว**
นายกิตติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจโฆษณา ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีอัตราการเติบโตลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน โดยในส่วนของ สปา พบว่า ยอดรายได้ตกลงประมาณ 6-7% โดยลูกค้ามีทั้งการจำกัดงบในการทำโฆษณาลง รวมถึงเลื่อนการจัดงานออกไป
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า การที่ประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้พร้อมที่จะใช้เม็ดเงินไปเพื่อการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์และความมั่นใจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณายังทรงตัวอยู่ ซึ่งหากไม่มีเรื่องงบประมาณจากภาครัฐเข้ามาแล้ว เชื่อว่า อุตสาหกรรมโฆษณาน่าจะตกลงไปอีก 5-6% จากเดิมปีก่อนตกลงไป 2.5-3%
จากการที่รัฐบาลพร้อมใช้เม็ดเงินครั้งนี้ ล่าสุด ในงานอาเซียน ซัมมิต ครั้งที่ 14 ทางสปาได้รับพิทช์ (PITCH) งานมาได้ 1 ชิ้น มูลค่างานประมาณ 10 ล้านบาท แต่ทั้งงานนี้เพียงงานเดียว คาดว่า จะใช้เม็ดเงินจัดงานไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึง 40 ล้านบาท ดังนั้น หากมองทั้งปีเม็ดเงินจากหน่วยงานภาครัฐที่จะนำมาใช้ด้านประชาสัมพันธ์องค์กร คาดว่า จะสูงถึงหลายพันล้านบาท
ทั้งนี้ จากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโฆษณา จึงมองว่า คนทำโฆษณาหรือเอเยนซีต่างๆ ควรที่จะต้องเน้นความเป็นสเปเชียล มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่น มากขึ้น ต้องรู้จักประหยัดในการใช้เม็ดเงิน รวมถึงต้องมีโนว์ฮาวเข้ามาช่วยคิดงานโฆษณาที่ดีมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคได้ตรงจุด จึงจะอยู่ได้
นายกิตติ ชัมพุนท์พงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฟิวเจอร์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ในเครือบริษัท โอสถสภา โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการเจรจากับทางฮาคูโฮโด มากกว่า 3 ปี ในการควบรวมบริษัทกัน ซึ่งสรุปได้ในปีนี้ โดยจะเป็นการรวมกันระหว่าง สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง กับ ไทยฮาคูโฮโด ภายใต้ชื่อ บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป ทุนจดทะเบียน 53,404,500 ล้านบาท
โดยกลุ่มบริษัท ฟิวเจอร์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชั่นส์ (FMCG) ถือหุ้น 74.90% และบริษัท ฮาคูโฮโด เอเซียแปซิฟิค ถือหุ้น 25.10% ซึ่งเมื่อรวมธุรกิจเข้าด้วยกันได้ ประเมินรายได้เบื้องต้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท มาจากสปา 1,500 ล้านบาท และทางไทยฮาคูโฮโด 500 ล้านบาท มั่นใจว่า น่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างน้อยอีก 10% ในสิ้นปี
เดิมในส่วนของไทยฮาคูโฮโด และ ฮาคูโฮโด แบงคอก กลุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ ถือหุ้นอยู่แล้ว 51% ส่วนทางฮาคูโฮโด ถือหุ้น 49% แต่ทางบริษัทเลือกรวมบริษัทกับไทยฮาคูโฮโด ส่วนทางฮาคูโฮโด แบงคอก ยังคงทำงานเช่นเดิม
สำหรับการรวมบริษัทครั้งนี้ มองว่า จะช่วยเสริมให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านโนว์ฮาวต่างๆ ไอทีมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ถือเป็นจุดแข็งในการนำเสนอกับลูกค้าในปีนี้ เพื่อช่วยกันคิดวิธีการสื่อสารทางการตลาดใหม่ๆ ที่ดีมีประสิทธิภาพ เพราะลูกค้าที่มีอยู่มีทั้งบริษัทญี่ปุ่น มองว่า จะช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรม และวิธีชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์งานโฆษณาออกมาให้ตรงกับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งมองว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งที่จะแข่งขันได้ในตลาดเอเยนซีปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่เป็นเอเยนซีโฆษณาแบบข้ามชาติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยังจะช่วยให้การบุกตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น
ที่สำคัญ บริษัทต้องการให้ลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่น ได้รับประโยชน์สูงสุดที่ใช้บริการกับทางสปา-ฮาคูโฮโด รวมถึงเรียกลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามามากยิ่งขึ้น จากเดิม สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จะเน้นลูกค้าขนาดใหญ่ในประเทศ เช่น โอสถสภา, บุญรอด, ปตท.ส่วนทางไทยฮาคูโฮโด จะมีลูกค้าญี่ปุ่น เช่น พานาโซนิค โตชิบ้า และซูซูกิ
อย่างไรก็ตาม มองว่า หลังการรวมบริษัทแล้ว อาจจะมีการทับซ้อนกันบ้างทั้งในแง่ลูกค้า ที่อาจจะทับซ้อนกัน แต่ทางบริษัทเชื่อว่าจะสามารถอธิบายให้แก่ลูกค้าเข้าใจได้
**รัฐอุ้มธุรกิจโฆษณาให้ทรงตัว**
นายกิตติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจโฆษณา ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีอัตราการเติบโตลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน โดยในส่วนของ สปา พบว่า ยอดรายได้ตกลงประมาณ 6-7% โดยลูกค้ามีทั้งการจำกัดงบในการทำโฆษณาลง รวมถึงเลื่อนการจัดงานออกไป
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า การที่ประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้พร้อมที่จะใช้เม็ดเงินไปเพื่อการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์และความมั่นใจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณายังทรงตัวอยู่ ซึ่งหากไม่มีเรื่องงบประมาณจากภาครัฐเข้ามาแล้ว เชื่อว่า อุตสาหกรรมโฆษณาน่าจะตกลงไปอีก 5-6% จากเดิมปีก่อนตกลงไป 2.5-3%
จากการที่รัฐบาลพร้อมใช้เม็ดเงินครั้งนี้ ล่าสุด ในงานอาเซียน ซัมมิต ครั้งที่ 14 ทางสปาได้รับพิทช์ (PITCH) งานมาได้ 1 ชิ้น มูลค่างานประมาณ 10 ล้านบาท แต่ทั้งงานนี้เพียงงานเดียว คาดว่า จะใช้เม็ดเงินจัดงานไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึง 40 ล้านบาท ดังนั้น หากมองทั้งปีเม็ดเงินจากหน่วยงานภาครัฐที่จะนำมาใช้ด้านประชาสัมพันธ์องค์กร คาดว่า จะสูงถึงหลายพันล้านบาท
ทั้งนี้ จากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโฆษณา จึงมองว่า คนทำโฆษณาหรือเอเยนซีต่างๆ ควรที่จะต้องเน้นความเป็นสเปเชียล มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่น มากขึ้น ต้องรู้จักประหยัดในการใช้เม็ดเงิน รวมถึงต้องมีโนว์ฮาวเข้ามาช่วยคิดงานโฆษณาที่ดีมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคได้ตรงจุด จึงจะอยู่ได้