โครงการทัวร์เยาวชน-ผู้สูงอายุวุ่น เหตุทัวร์รุมทึ้งงบ 153 ล้านบาท ก่อให้เกิดความวุ่นวาย หาเจ้าภาพรวบรวมข้อมูลไม่ได้ “ศศิธารา” แนะ 3 แนวทางเลือก เปิดอี-อ๊อกชั่น ให้เอกชนไปหารือให้ได้ข้อสรุปร่วมกันโดยเลือกเพียง 1 แนวทางก่อนมานำเสนอในกลางเดือนมีนาคม
นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการประชุมร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยวในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ เปิดเผยว่า การหารือถึงโครงการนี้ในรอบแรกช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวเกิดความสับสนถึงกระบวนการที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยไม่ทราบว่าจะประสานไปยังหน่วยงานใดบ้าง
ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ทุกฝ่ายจึงเห็นตรงกันสรุปเป็น 3 แนวทางเพื่อเลือกเพียง 1 แนวทางในการดำเนินงาน ได้แก่ 1.ให้ 4 กลุ่มสมาคมท่องเที่ยว ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) สมาคมนำเที่ยวไทย (สนท.) และ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) หรือ TEATA ไปหารือกันเพื่อแบ่งหน้าที่การทำงาน รวมถึงนำข้อมูลรายละเอียดขั้นตอนการสมัครไปบอกกล่าวแก่สมาชิกให้รับทราบทุกคน
2.การร่างหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้าง หรือ ทีโออาร์ เพื่อเปิดบริษัทนำเที่ยวที่สนใจ มาร่วมอี-ออกชัน หาผู้ชนะการประมูลเพื่อดำเนินโครงการนี้ และ 3.ให้กระทรวงศึกษาและกระทรวงการท่องเที่ยวฯร่วมกันดำเนินโครงการโดยจัดตั้งเป็นคณะกรรมการร่วมของสองกระทรวง เพื่อกำหนดเดสติเนชั่นในการจัดทัวร์ท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ต่างๆแต่ต้องกระจายครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งในรายละเอียดข้อนี้ กระทรวงศึกษาฯ โดยสำนักการศึกษาจังหวัด และ สำนักงานกีฬาท่องเที่ยวและนันทนาการจังหวัด ไปปรึกษากันเพื่อว่าจ้างบริษัทนำเที่ยวท้องถิ่นเป็นผู้จัดนำเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 แนวทางดังกล่าว คือ ข้อเสนอที่ตกลงกันในที่ประชุม โดยทุกฝ่ายต้องนำข้อสรุปนี้ไปหารือเพื่อเลือกเพียงข้อเดียวมานำเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่า จะเริ่มได้ประมาณกลางเดือนมีนาคมนี้
ทั้งนี้ ทีโออาร์ในการจัดซื้อจัดจ้างบริษัทนำเที่ยวที่จะเข้ามารับงานในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ กรอบเบื้องต้นที่กำหนดไว้ ได้แก่ บริษัททัวร์ต้องมีการทำประกับภัยให้แก่ลูกทัวร์ด้วยทุนประกันชดเชยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท, รถที่จะนำมาให้บริการต้องอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานและต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชั่วโมง,ไกด์ที่มาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวต้องมีความรู้ในเรื่องของประวัติศาสตร์วัฒนธรรม โดยต้องสามารถวัดค่าดัชนีชีวัดเพื่อประเมินผล (เคพีไอ) ในเรื่องความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้ด้วย เป็นต้น
สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ จัดทำขึ้นภายใต้วงเงินงบประมาณ 153 ล้าน จากงบกลางปีงบประมาณ 2552 โดยกระทรวงการท่องเที่ยวจะนำงบประมาณนี้ไปใช้จ่ายเพื่อพาเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุท่องเที่ยวฟรีผ่านบริษัทนำเที่ยว เพื่อกระจายรายได้สู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วยการสร้างดีมานด์ขึ้นมาในตลาด โดยประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้นไว้ที่ 850 บาทต่อคนต่อวัน ระยะเวลา ระยะเวลาโครงการ มี.ค.-มิ.ย.52 รวมผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 153,000 คน แบ่งเป็น เด็กเยาวชนและผู้พิการ 130,000 คน และผู้สูงอายุ 23,000 คน กระจายเดินทางท่องเที่ยวทั่ว 75 จังหวัดๆละ 2,000 คน และ ใน กทม.อีก3,000 คน จากที่ยังตกลงกับภาคเอกชนไม่ได้อาจทำให้การเริ่มโครงการล่าช้าไปบ้าง
นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการประชุมร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยวในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ เปิดเผยว่า การหารือถึงโครงการนี้ในรอบแรกช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวเกิดความสับสนถึงกระบวนการที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยไม่ทราบว่าจะประสานไปยังหน่วยงานใดบ้าง
ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ทุกฝ่ายจึงเห็นตรงกันสรุปเป็น 3 แนวทางเพื่อเลือกเพียง 1 แนวทางในการดำเนินงาน ได้แก่ 1.ให้ 4 กลุ่มสมาคมท่องเที่ยว ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) สมาคมนำเที่ยวไทย (สนท.) และ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) หรือ TEATA ไปหารือกันเพื่อแบ่งหน้าที่การทำงาน รวมถึงนำข้อมูลรายละเอียดขั้นตอนการสมัครไปบอกกล่าวแก่สมาชิกให้รับทราบทุกคน
2.การร่างหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้าง หรือ ทีโออาร์ เพื่อเปิดบริษัทนำเที่ยวที่สนใจ มาร่วมอี-ออกชัน หาผู้ชนะการประมูลเพื่อดำเนินโครงการนี้ และ 3.ให้กระทรวงศึกษาและกระทรวงการท่องเที่ยวฯร่วมกันดำเนินโครงการโดยจัดตั้งเป็นคณะกรรมการร่วมของสองกระทรวง เพื่อกำหนดเดสติเนชั่นในการจัดทัวร์ท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ต่างๆแต่ต้องกระจายครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งในรายละเอียดข้อนี้ กระทรวงศึกษาฯ โดยสำนักการศึกษาจังหวัด และ สำนักงานกีฬาท่องเที่ยวและนันทนาการจังหวัด ไปปรึกษากันเพื่อว่าจ้างบริษัทนำเที่ยวท้องถิ่นเป็นผู้จัดนำเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 แนวทางดังกล่าว คือ ข้อเสนอที่ตกลงกันในที่ประชุม โดยทุกฝ่ายต้องนำข้อสรุปนี้ไปหารือเพื่อเลือกเพียงข้อเดียวมานำเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่า จะเริ่มได้ประมาณกลางเดือนมีนาคมนี้
ทั้งนี้ ทีโออาร์ในการจัดซื้อจัดจ้างบริษัทนำเที่ยวที่จะเข้ามารับงานในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ กรอบเบื้องต้นที่กำหนดไว้ ได้แก่ บริษัททัวร์ต้องมีการทำประกับภัยให้แก่ลูกทัวร์ด้วยทุนประกันชดเชยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท, รถที่จะนำมาให้บริการต้องอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานและต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชั่วโมง,ไกด์ที่มาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวต้องมีความรู้ในเรื่องของประวัติศาสตร์วัฒนธรรม โดยต้องสามารถวัดค่าดัชนีชีวัดเพื่อประเมินผล (เคพีไอ) ในเรื่องความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้ด้วย เป็นต้น
สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ จัดทำขึ้นภายใต้วงเงินงบประมาณ 153 ล้าน จากงบกลางปีงบประมาณ 2552 โดยกระทรวงการท่องเที่ยวจะนำงบประมาณนี้ไปใช้จ่ายเพื่อพาเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุท่องเที่ยวฟรีผ่านบริษัทนำเที่ยว เพื่อกระจายรายได้สู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วยการสร้างดีมานด์ขึ้นมาในตลาด โดยประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้นไว้ที่ 850 บาทต่อคนต่อวัน ระยะเวลา ระยะเวลาโครงการ มี.ค.-มิ.ย.52 รวมผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 153,000 คน แบ่งเป็น เด็กเยาวชนและผู้พิการ 130,000 คน และผู้สูงอายุ 23,000 คน กระจายเดินทางท่องเที่ยวทั่ว 75 จังหวัดๆละ 2,000 คน และ ใน กทม.อีก3,000 คน จากที่ยังตกลงกับภาคเอกชนไม่ได้อาจทำให้การเริ่มโครงการล่าช้าไปบ้าง