หอการค้าฯ คาด อีก 5 ปี ตลาดอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญต่อสินค้าส่งออกไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 24% “พาณิชย์” เร่งผลักดัน “เอสเอ็มอี” พัฒนาสินค้าส่งออก เจาะตลาดอาเซียน
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการประเมินศักยภาพการแข่งขันของสินค้าและบริการไทย ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยระบุว่า ตลาดอาเซียนมีความสำคัญอย่างมาก ต่อการส่งออกสินค้าไทย โดยสามารถรองรับสินค้าไทยได้ร้อยละ 21 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด
นายอัทธ์ กล่วว่า การที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนในอีก 5 ปี ข้างหน้า จะทำให้มูลค่าการส่งออกนำเข้าเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น่าพอใจ โดยมูลค่าการส่งออกจากปี 2551 ที่ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2558 หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 ขณะที่การนำเข้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.2 จากปี 2551 ที่มูลค่า 30,434 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 39,869 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2558 โดยไทยจะต้องเร่งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับสินค้าประเภทเกษตร ประมง ไม้ ยางพารา ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนให้กับทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าฝึกสมาธิและผลักดันการอำนวยความสะดวกทางการค้าตามแนวชายแดน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุน
ด้าน นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวถึงแผนการผลักดันผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ของไทย ให้มีศักยภาพในการส่งออกมากขึ้น โดยใช้การฝึกอบรมช่องทางการค้า พร้อมการจัดหารือพบทูตย์พาณิชย์ ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายผลักดันสร้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใหม่ 500 ราย สำหรับกลุ่มประเทศเป้าหมาย ได้แก่ อาเซียน จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง เพราะประเทศดังกล่าวยังมีความต้องการสินค้าไทยอีกมาก
นายคณิสสร กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีไทยที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายทำตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจรักษาพยาบาล และอีกหลายธุรกิจ จึงเชื่อว่า จากการที่ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกัน ที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสร้างจุดแข็งและทำตลาดในต่างประเทศภายใน 3-5 ปี จะมีเอสเอ็มอีไทยจำนวนมากเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ
