ดังกิ้นโดนัท เล่นบทรุกรับปีฉลู งัด 4 สูตรลุยหวังเพิ่มยอดขาย 12% ชูคอนเซปต์คอฟฟี และโดนัท พร้อมนำเข้ากาแฟจากอเมริกามาจำหน่าย เล็งเปิด 10 สาขาใหม่ ขยายดิลิเวอรีด้วยการเดินนำร่อง
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านดังกิ้นโดนัท กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจปีนี้เน้นเชิงรุกมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์หลัก คือ 1.การปรับคอนเซปต์ร้านโดยขยายธุรกิจเครื่องดื่มกาแฟ 2.การเข้าถึงลูกค้า 3.การออกสินค้าใหม่ 4.การจัดกิจกรรม โดยวางรายได้รวมปีนี้โต 12% ขณะที่ปีที่แล้วโต 18% โดยมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 10% และยอดใช้จ่ายต่อบิลเพิ่มขึ้น 5 บาทต่อบิล โดยดังกิ้นมีส่วนแบ่ง 40% จากมูลค่าตลาดโดนัทรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ที่คาดว่าปีนี้โต 10%
แนวทางแต่ละส่วน คือ 1.การปรับคอนเซปต์ใหม่เป็น “คอฟฟีและโดนัท” มีเครื่องดื่มกาแฟจำหน่ายด้วย หวังจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มรวมเป็น 30% โดนัท 70% จากเดิมเป็นเครื่องดื่ม 10% และโดนัท 90% อีกทั้งไตรมาสสามปีนี้จะนำเข้ากาแฟสดดังกิ้นโดนัทจากอเมริกาเข้ามาจำหน่าย ราคาจะต่ำกว่าคู่แข่ง 20-25% รองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟมากขึ้น ซึ่งในอเมริกาดังกิ้นโดนัทมียอดขายจากกาแฟกว่า 80% หลังจากที่เน้นตลาดกาแฟมาประมาณ 3 ปีแล้ว
ส่วนสาขาเริ่มปรับเป็นคอนเซปต์ใหม่มาแล้ว 4-5 สาขา ที่เป็นขนาดใหญ่กว่า 100 ตร.ม.เช่น สยามสแควร์ เอ็มบีเค เดอะมอลล์ท่าพระ เป็นต้น และล่าสุด ที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ใช้งบ 3 ล้านบาท มีสีสันสดใสเทรนดี้ เพื่อขยายฐานสู่กลุ่มวัยรุ่น และเดือนหน้าจะปรับที่ ซีคอนสแควร์ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาใหญ่กว่า 20 แห่ง จะทยอยปรับเป็นคอนเซปต์ใหม่ให้หมด ส่วนสาขาเก่าขนาดเล็กไม่ได้ปรับ
2.การเข้าถึงลูกค้า เช่น การขยายสาขาใหม่ปีนี้ 10 สาขา และปรับปรุงสาขาเก่า ใช้งบรวม 50 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีสาขากว่า 170 สาขา รวมทั้งคีออสด้วยและการทำดิลิเวอรี ซึ่งเพิ่งเริ่มทดลองแต่เป็นการส่งในรัศมีใกล้ๆ แต่ละสาขาด้วยการเดินหรือขี่จักรยานส่ง 5-6 สาขาแล้วในย่านธุรกิจ เช่น พระราม 4 สุขุมวิท ขั้นต่ำคือ กล่องใหญ่ขนาด 12 ชิ้น ราคา 249 บาท ยังไม่เป็นระบบคอลล์เซ็นเตอร์ แต่อนาคตมีแนวโน้มหากผลตอบรับดี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ร่วมมือกับทางฟู้ดบายโฟนที่เข้ามาทำตลาดดิลิเวอรีให้ในพื้นที่เฉพาะส่วน
ส่วน 3.การออกสินค้าใหม่นั้น เดือนหน้าจะมีเมนูใหม่ออกมา 10 ชนิด จากทั้งปีจำนวน 50 ชนิด เช่น เบลเยียมช็อกโกแลตโดนัท รวมทั้งเครื่องดื่มใหม่ๆ ด้วย และ 4.การจัดกิจกรรม ซึ่งจะเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์เป็นหลัก ด้วยงบตลาดรวม 20 ล้านบาทในปีนี้
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านดังกิ้นโดนัท กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจปีนี้เน้นเชิงรุกมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์หลัก คือ 1.การปรับคอนเซปต์ร้านโดยขยายธุรกิจเครื่องดื่มกาแฟ 2.การเข้าถึงลูกค้า 3.การออกสินค้าใหม่ 4.การจัดกิจกรรม โดยวางรายได้รวมปีนี้โต 12% ขณะที่ปีที่แล้วโต 18% โดยมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 10% และยอดใช้จ่ายต่อบิลเพิ่มขึ้น 5 บาทต่อบิล โดยดังกิ้นมีส่วนแบ่ง 40% จากมูลค่าตลาดโดนัทรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ที่คาดว่าปีนี้โต 10%
แนวทางแต่ละส่วน คือ 1.การปรับคอนเซปต์ใหม่เป็น “คอฟฟีและโดนัท” มีเครื่องดื่มกาแฟจำหน่ายด้วย หวังจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มรวมเป็น 30% โดนัท 70% จากเดิมเป็นเครื่องดื่ม 10% และโดนัท 90% อีกทั้งไตรมาสสามปีนี้จะนำเข้ากาแฟสดดังกิ้นโดนัทจากอเมริกาเข้ามาจำหน่าย ราคาจะต่ำกว่าคู่แข่ง 20-25% รองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟมากขึ้น ซึ่งในอเมริกาดังกิ้นโดนัทมียอดขายจากกาแฟกว่า 80% หลังจากที่เน้นตลาดกาแฟมาประมาณ 3 ปีแล้ว
ส่วนสาขาเริ่มปรับเป็นคอนเซปต์ใหม่มาแล้ว 4-5 สาขา ที่เป็นขนาดใหญ่กว่า 100 ตร.ม.เช่น สยามสแควร์ เอ็มบีเค เดอะมอลล์ท่าพระ เป็นต้น และล่าสุด ที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ใช้งบ 3 ล้านบาท มีสีสันสดใสเทรนดี้ เพื่อขยายฐานสู่กลุ่มวัยรุ่น และเดือนหน้าจะปรับที่ ซีคอนสแควร์ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาใหญ่กว่า 20 แห่ง จะทยอยปรับเป็นคอนเซปต์ใหม่ให้หมด ส่วนสาขาเก่าขนาดเล็กไม่ได้ปรับ
2.การเข้าถึงลูกค้า เช่น การขยายสาขาใหม่ปีนี้ 10 สาขา และปรับปรุงสาขาเก่า ใช้งบรวม 50 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีสาขากว่า 170 สาขา รวมทั้งคีออสด้วยและการทำดิลิเวอรี ซึ่งเพิ่งเริ่มทดลองแต่เป็นการส่งในรัศมีใกล้ๆ แต่ละสาขาด้วยการเดินหรือขี่จักรยานส่ง 5-6 สาขาแล้วในย่านธุรกิจ เช่น พระราม 4 สุขุมวิท ขั้นต่ำคือ กล่องใหญ่ขนาด 12 ชิ้น ราคา 249 บาท ยังไม่เป็นระบบคอลล์เซ็นเตอร์ แต่อนาคตมีแนวโน้มหากผลตอบรับดี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ร่วมมือกับทางฟู้ดบายโฟนที่เข้ามาทำตลาดดิลิเวอรีให้ในพื้นที่เฉพาะส่วน
ส่วน 3.การออกสินค้าใหม่นั้น เดือนหน้าจะมีเมนูใหม่ออกมา 10 ชนิด จากทั้งปีจำนวน 50 ชนิด เช่น เบลเยียมช็อกโกแลตโดนัท รวมทั้งเครื่องดื่มใหม่ๆ ด้วย และ 4.การจัดกิจกรรม ซึ่งจะเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์เป็นหลัก ด้วยงบตลาดรวม 20 ล้านบาทในปีนี้