แอร์ยอร์คตื่น มุ่งคอนซูเมอร์ หลังประสบความสำเร็จในกลุ่มโครงการ ทุ่ม35ล้านบาท คิกออฟทำตลาดเต็บสูบ ชูความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ –ทางเลือกใหม่ จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ คาดดันเป้ารายได้ขยับโตอีก 10-15%
นายสิทธิศักดิ์ ผาณิตพจมาน ผู้จัดการฝ่ายเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กและธุรกิจสาขา บริษัท จอห์นสัน คอนโทรลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศภายใต้แบรนด์ “ยอร์ค” เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องปรับอากาศมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปีนี้ เชื่อว่าอาจจะเติบโตขึ้นเล็กน้อย หรืออาจจะติดลบ เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจส่งผลต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคระดับแมส ที่จะมีการพิจารณาในการใช้เงินมากขึ้น
โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศกลุ่มไฟติ้งโมเดล มองว่าปีนี้ถึงแม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรง มีการดั้มราคาเพื่อแข่งขันสูง แต่ในแง่การเติบโตแล้ว น่าจะลดลง เพราะลูกค้าชะลอการใช้จ่ายเงิน ขณะที่เซกเม้นต์เครื่องปรับอากาศแบบทางเลือกหรือมีความเป็นพรีเมี่ยม มองว่ามีการเติบโตที่ดีอยู่ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยังมีกำลังซื้อ และมองหาเครื่องปรับอากาศทางเลือกใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นปีนี้บริษัทฯจึงมีแผนรุกเครื่องปรับอากาศในกลุ่มลูกค้าคอนซูเมอร์มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบการตลาด 35 ล้านบาท เท่าปีก่อน มุ่งทำตลาดเกี่ยวกับคอนซูเมอร์เป็นหลัก โดยจะชูความเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์ กับเทคโนโลยีที่ใส่ใจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยจะนำเสนอเครื่องปรับอากาศภายในบ้านในรูปแบบของระบบโซลูชั่น ในราคาประมาณ 3แสนบาท กับพ.ท.ภายในบ้านขนาด 70 ตารางเมตร หรือมี 3ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ส่วนกลุ่มไฟติ้งโมเดลก็ยังมีเปิดตัวใหม่เพื่อทำการตลาดเช่นเดิม
นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ขาย หรือโชวร์รูมนั้น จากเดิมที่มีดีลเลอร์ทั่วประเทศกว่า 300 ราย มีอยู่ 100 รายที่มีการจัดทำโชวร์รูมขึ้น ขณะที่ปีนี้จะเพิ่มอีก 6 โชวร์รูม ในรูปแบบใหม่ ให้ลูกค้าได้สัมผัสและเข้าถึงสินค้าได้มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบประมาณรวมที่ 4 ล้านบาท ทั้งในศูนย์การค้าอย่างเซ็นทรัลเวิล์ด และทางเดอะมอลล์ เชื่อว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยดันยอดขายกลุ่มเครื่องปรับอากาศสำหรับคอนซูเมอร์ให้เพิ่มมากขึ้น
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมายอร์คจะมุ่งทำตลาดในกลุ่มลูกค้าโครงการเป็นหลัก ในสัดส่วน 70%และคอนซูเมอร์ 30% โดยหลังจากเข้ามาทำตลาดคอนซูเมอร์อย่างจริงจังนี้ เชื่อว่าใน 3 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนที่ 50% เท่าๆกัน โดยในปีแรกนี้ เชื่อว่าสัดส่วนยอดในกลุ่มคอนซูเมอร์จะเพิ่มเป็น 35% และโครงการเป็น 65% หรือทั้งปียังคงอัตราการเติบโตที่ 10-15% เท่าปีก่อน
นายสิทธิศักดิ์ ผาณิตพจมาน ผู้จัดการฝ่ายเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กและธุรกิจสาขา บริษัท จอห์นสัน คอนโทรลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศภายใต้แบรนด์ “ยอร์ค” เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องปรับอากาศมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปีนี้ เชื่อว่าอาจจะเติบโตขึ้นเล็กน้อย หรืออาจจะติดลบ เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจส่งผลต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคระดับแมส ที่จะมีการพิจารณาในการใช้เงินมากขึ้น
โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศกลุ่มไฟติ้งโมเดล มองว่าปีนี้ถึงแม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรง มีการดั้มราคาเพื่อแข่งขันสูง แต่ในแง่การเติบโตแล้ว น่าจะลดลง เพราะลูกค้าชะลอการใช้จ่ายเงิน ขณะที่เซกเม้นต์เครื่องปรับอากาศแบบทางเลือกหรือมีความเป็นพรีเมี่ยม มองว่ามีการเติบโตที่ดีอยู่ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยังมีกำลังซื้อ และมองหาเครื่องปรับอากาศทางเลือกใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นปีนี้บริษัทฯจึงมีแผนรุกเครื่องปรับอากาศในกลุ่มลูกค้าคอนซูเมอร์มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบการตลาด 35 ล้านบาท เท่าปีก่อน มุ่งทำตลาดเกี่ยวกับคอนซูเมอร์เป็นหลัก โดยจะชูความเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์ กับเทคโนโลยีที่ใส่ใจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยจะนำเสนอเครื่องปรับอากาศภายในบ้านในรูปแบบของระบบโซลูชั่น ในราคาประมาณ 3แสนบาท กับพ.ท.ภายในบ้านขนาด 70 ตารางเมตร หรือมี 3ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ส่วนกลุ่มไฟติ้งโมเดลก็ยังมีเปิดตัวใหม่เพื่อทำการตลาดเช่นเดิม
นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ขาย หรือโชวร์รูมนั้น จากเดิมที่มีดีลเลอร์ทั่วประเทศกว่า 300 ราย มีอยู่ 100 รายที่มีการจัดทำโชวร์รูมขึ้น ขณะที่ปีนี้จะเพิ่มอีก 6 โชวร์รูม ในรูปแบบใหม่ ให้ลูกค้าได้สัมผัสและเข้าถึงสินค้าได้มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบประมาณรวมที่ 4 ล้านบาท ทั้งในศูนย์การค้าอย่างเซ็นทรัลเวิล์ด และทางเดอะมอลล์ เชื่อว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยดันยอดขายกลุ่มเครื่องปรับอากาศสำหรับคอนซูเมอร์ให้เพิ่มมากขึ้น
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมายอร์คจะมุ่งทำตลาดในกลุ่มลูกค้าโครงการเป็นหลัก ในสัดส่วน 70%และคอนซูเมอร์ 30% โดยหลังจากเข้ามาทำตลาดคอนซูเมอร์อย่างจริงจังนี้ เชื่อว่าใน 3 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนที่ 50% เท่าๆกัน โดยในปีแรกนี้ เชื่อว่าสัดส่วนยอดในกลุ่มคอนซูเมอร์จะเพิ่มเป็น 35% และโครงการเป็น 65% หรือทั้งปียังคงอัตราการเติบโตที่ 10-15% เท่าปีก่อน
