โอเรียนทอล พริ้นเซส เปิดแผนรุกปี 2552 หวั่นตลาดรวมเติบโตคงที่ ชูแผนโหมเปิดร้านสแตนด์อโลนเข้าถึงตลาดตรง โหมต่างจังหวัดรับกำลังซื้อยังดีอยู่ อัดงบตลาดเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท ลุยเต็มที่ คาดหวังยอดขายเติบโต 9% ขณะที่ปี 2551 เติบโต 34%
นางสาวพาสนา อินทราทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอ.พี.เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านความงาม โอเรียนทอล พริ้นเซส เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และเศรษฐกิจของไทยปีนี้หลายฝ่าย คาดกันว่า กว่าจะดีขึ้นก็คงเป็นช่วงกลางปีหรือไตรมาสที่สาม แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลจะมีมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อต่อเนื่องก็ตาม บริษัทจึงต้องวางแผนตลาดให้ดี
ทั้งนี้ สิ่งที่สะท้อนได้ดี ก็คือ ยอดขายของบริษัทในเดือนธันวาคมปี 2551 ที่ผ่านมา เติบโตจากเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกันแค่ 13% เท่านั้น ต่ำกว่าธันวาคมปี 2550 ที่ทำยอดขายเติบโต 20% ทั้งๆที่เป็นเดือนที่มีหน้าขายสูงที่สุดเพราะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ขณะที่ยอดขายต่อวันในช่วงครึ่งเดือนแรกของมกราคมปีนี้ของบริษัทฯกลับมีอัตราลดลงเฉลี่ย 20% ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปีนี้ทั้งปีตลาดรวมเครื่องสำอางค์ในช่องทางสเปเชียลตีสโตร์คงไม่ได้เติบโตมากนักเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา คือ ปี 2550 โต 27% ส่วนปี 2551 คาดว่า เติบโต 15-20% จากมูลค่าตลาดรวมช่องทางนี้กว่า 3,500 ล้านบาท ส่วนตลาดทั้งระบบเครื่องสำอาง คาดว่า มีประมาณ 30,000 ล้านบาท
สำหรับแผนธุรกิจปี 2552 ของบริษัทหลักๆ จะมีต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 13 แห่ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 3 แห่งที่เหลือเป็นต่างจังหวัดหมด โดยมีแผนเปิดแบบสแตนด์อโลนด้วยเพื่อที่จะเข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด เพราะปีนี้คู่ค้าที่เป็นศูนย์การค้าเปิดน้อยลง และรองรับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ด้วย จากเดิมที่มีสแตนด์อโลนกว่า 20 แห่ง แต่ไม่ได้เน้นเปิดมากนัก ลงทุนเฉลี่ย 2-3 ล้านบาทต่อสาขา ส่วนปีที่แล้วเปิดสาขาได้ 41 แห่ง (กรุงเทพฯ 8 แห่ง, ต่างจังหวัด 33 แห่ง) ซึ่งเฉพาะสาขาใหม่สร้างรายได้กว่า 120 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขา รวม 271 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 165 สาขา และต่างจังหวัด 106 สาขา กระจายทั่วประเทศ ยกเว้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และแม่ฮ่องสอน
2.ออกสินค้าใหม่ล่าสุด คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Natural Cosmeceutical 3 ชุด คือ ชุดไวท์เทนนิ่ง ชุดแอนตี้เอจจิ้ง และชุดแอนตี้แอคเน่ 3.การส่งเสริมการขาย ตั้งงบตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านบาท จากปีที่แล้วใช้ 300 ล้านบาท ทำโปรโมชันให้ส่วนลดและสิทธิพิเศษมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการซื้อมากขึ้น 4.ตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกเป็น 7 แสนกว่าราย หรือเพิ่มกว่า 2 แสนราย จากปีที่แล้วมี 5.2 แสนราย เติบโตจากปีก่อนหน้า 44% ที่มีเพียง 3.6 แสนราย
สำหรับผลประกอบการปี 2551 มียอดขาย 2,487 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อนหน้า โดยสูงกว่าเป้าหมายตั้งไว้ที่ 2,100 ล้านบาท ประมาณ 18% โดยสัดส่วนรายได้มาจากต่างจังหวัด 47% และกรุงเทพฯ 53% แต่การเติบโตต่างจังหวัดดีกว่า โดยสังเกตจากสัดส่วนรายได้ ต่างจังหวัดเพิ่มมาตลอดตั้งแต่ 41% เป็น 44% และ 47% เมื่อปีที่แล้ว จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เน้นเปิดสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้มาจาก กลุ่มผิวหน้า 35% เติบโต 30%, กลุ่มสีสัน 35% เติบโต 44%, กลุ่มบอดี้และแฮร์ 25% เติบโต 24% และกลุ่มไลฟ์สไตล์ 5% เติบโต 30%
ทั้งนี้ ยอดขายมาจากสมาชิก 2,103 ล้านบาท เติบโต 40% และมาจากลูกค้าที่ไม่ใช่สมาชิกหรือขาจร 384 ล้านบาท ขณะที่ปี 2550 ยอดขายมาจากสมาชิก 1,524 ล้านบาท มาจากลูกค้าที่ไม่ใช่สมาชิก 329 ล้านบาท ส่วนยอดซื้อต่อบิลต่อครั้งของลูกค้าก็เพิ่มขึ้นทั้งที่เป็นสมาชิกกับไม่เป็นสมาชิก กล่าวคือ ปี 2551 ยอดซื้อของสมาชิกเฉลี่ยอยู่ที่ 996 บาทต่อครั้ง จากที่ไม่ใช่สมาชิก 780 บาทต่อครั้ง เพิ่มจากปี 2550 ที่มียอดซื้อจากสมาชิกอยู่ที่ 972 บาทต่อครั้ง จากที่ไม่ใช่สมาชิกประมาณ 760 บาทต่อครั้ง โดยสมาชิกมีการซื้อมากถึง 90%
นางสาวพาสนา กล่าวว่า ในปี 2552 นี้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโต 9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมหรือคอนเซอร์เวทีฟ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี กำลังซื้อก็ลดลง การแข่งขันในตลาดก็รุนแรงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดในช่องทางสเปเชียลตี้สโตร์ประมาณ 74%
“ปีนี้เราจะมุ่งเน้นสินค้ากลุ่มเพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาผิวพรรณที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุด และใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งตลาดเวชสำอางเป็นเทรนด์ใหม่ที่ขยายวงกว้างมากขึ้นทุกปีทั้งในไทยและต่างประเทศ เห็นได้ชัดจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจคลินิกความงามของไทยที่มีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ส่วนตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้ามีมูลค่า 8,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี และคาดว่า จากแผนธุรกิจของบริษัทที่เตรียมไว้นั้นจะช่วยทำให้ยอดขายบริษัทเติบโตและเป็นไปตามเป้าหมายได้แน่นอน”
นางสาวพาสนา อินทราทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอ.พี.เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านความงาม โอเรียนทอล พริ้นเซส เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และเศรษฐกิจของไทยปีนี้หลายฝ่าย คาดกันว่า กว่าจะดีขึ้นก็คงเป็นช่วงกลางปีหรือไตรมาสที่สาม แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลจะมีมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อต่อเนื่องก็ตาม บริษัทจึงต้องวางแผนตลาดให้ดี
ทั้งนี้ สิ่งที่สะท้อนได้ดี ก็คือ ยอดขายของบริษัทในเดือนธันวาคมปี 2551 ที่ผ่านมา เติบโตจากเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกันแค่ 13% เท่านั้น ต่ำกว่าธันวาคมปี 2550 ที่ทำยอดขายเติบโต 20% ทั้งๆที่เป็นเดือนที่มีหน้าขายสูงที่สุดเพราะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ขณะที่ยอดขายต่อวันในช่วงครึ่งเดือนแรกของมกราคมปีนี้ของบริษัทฯกลับมีอัตราลดลงเฉลี่ย 20% ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปีนี้ทั้งปีตลาดรวมเครื่องสำอางค์ในช่องทางสเปเชียลตีสโตร์คงไม่ได้เติบโตมากนักเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา คือ ปี 2550 โต 27% ส่วนปี 2551 คาดว่า เติบโต 15-20% จากมูลค่าตลาดรวมช่องทางนี้กว่า 3,500 ล้านบาท ส่วนตลาดทั้งระบบเครื่องสำอาง คาดว่า มีประมาณ 30,000 ล้านบาท
สำหรับแผนธุรกิจปี 2552 ของบริษัทหลักๆ จะมีต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 13 แห่ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 3 แห่งที่เหลือเป็นต่างจังหวัดหมด โดยมีแผนเปิดแบบสแตนด์อโลนด้วยเพื่อที่จะเข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด เพราะปีนี้คู่ค้าที่เป็นศูนย์การค้าเปิดน้อยลง และรองรับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ด้วย จากเดิมที่มีสแตนด์อโลนกว่า 20 แห่ง แต่ไม่ได้เน้นเปิดมากนัก ลงทุนเฉลี่ย 2-3 ล้านบาทต่อสาขา ส่วนปีที่แล้วเปิดสาขาได้ 41 แห่ง (กรุงเทพฯ 8 แห่ง, ต่างจังหวัด 33 แห่ง) ซึ่งเฉพาะสาขาใหม่สร้างรายได้กว่า 120 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขา รวม 271 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 165 สาขา และต่างจังหวัด 106 สาขา กระจายทั่วประเทศ ยกเว้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และแม่ฮ่องสอน
2.ออกสินค้าใหม่ล่าสุด คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Natural Cosmeceutical 3 ชุด คือ ชุดไวท์เทนนิ่ง ชุดแอนตี้เอจจิ้ง และชุดแอนตี้แอคเน่ 3.การส่งเสริมการขาย ตั้งงบตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านบาท จากปีที่แล้วใช้ 300 ล้านบาท ทำโปรโมชันให้ส่วนลดและสิทธิพิเศษมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการซื้อมากขึ้น 4.ตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกเป็น 7 แสนกว่าราย หรือเพิ่มกว่า 2 แสนราย จากปีที่แล้วมี 5.2 แสนราย เติบโตจากปีก่อนหน้า 44% ที่มีเพียง 3.6 แสนราย
สำหรับผลประกอบการปี 2551 มียอดขาย 2,487 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อนหน้า โดยสูงกว่าเป้าหมายตั้งไว้ที่ 2,100 ล้านบาท ประมาณ 18% โดยสัดส่วนรายได้มาจากต่างจังหวัด 47% และกรุงเทพฯ 53% แต่การเติบโตต่างจังหวัดดีกว่า โดยสังเกตจากสัดส่วนรายได้ ต่างจังหวัดเพิ่มมาตลอดตั้งแต่ 41% เป็น 44% และ 47% เมื่อปีที่แล้ว จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เน้นเปิดสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้มาจาก กลุ่มผิวหน้า 35% เติบโต 30%, กลุ่มสีสัน 35% เติบโต 44%, กลุ่มบอดี้และแฮร์ 25% เติบโต 24% และกลุ่มไลฟ์สไตล์ 5% เติบโต 30%
ทั้งนี้ ยอดขายมาจากสมาชิก 2,103 ล้านบาท เติบโต 40% และมาจากลูกค้าที่ไม่ใช่สมาชิกหรือขาจร 384 ล้านบาท ขณะที่ปี 2550 ยอดขายมาจากสมาชิก 1,524 ล้านบาท มาจากลูกค้าที่ไม่ใช่สมาชิก 329 ล้านบาท ส่วนยอดซื้อต่อบิลต่อครั้งของลูกค้าก็เพิ่มขึ้นทั้งที่เป็นสมาชิกกับไม่เป็นสมาชิก กล่าวคือ ปี 2551 ยอดซื้อของสมาชิกเฉลี่ยอยู่ที่ 996 บาทต่อครั้ง จากที่ไม่ใช่สมาชิก 780 บาทต่อครั้ง เพิ่มจากปี 2550 ที่มียอดซื้อจากสมาชิกอยู่ที่ 972 บาทต่อครั้ง จากที่ไม่ใช่สมาชิกประมาณ 760 บาทต่อครั้ง โดยสมาชิกมีการซื้อมากถึง 90%
นางสาวพาสนา กล่าวว่า ในปี 2552 นี้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโต 9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมหรือคอนเซอร์เวทีฟ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี กำลังซื้อก็ลดลง การแข่งขันในตลาดก็รุนแรงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดในช่องทางสเปเชียลตี้สโตร์ประมาณ 74%
“ปีนี้เราจะมุ่งเน้นสินค้ากลุ่มเพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาผิวพรรณที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุด และใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งตลาดเวชสำอางเป็นเทรนด์ใหม่ที่ขยายวงกว้างมากขึ้นทุกปีทั้งในไทยและต่างประเทศ เห็นได้ชัดจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจคลินิกความงามของไทยที่มีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ส่วนตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้ามีมูลค่า 8,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี และคาดว่า จากแผนธุรกิจของบริษัทที่เตรียมไว้นั้นจะช่วยทำให้ยอดขายบริษัทเติบโตและเป็นไปตามเป้าหมายได้แน่นอน”