ปตท.โวย 5 ปี ถูกบีบให้แบกภาระขายก๊าซเอ็นจีวี ทำขาดทุนอ่วม 8.3 พันล้าน เผยแค่ปี 51 ขาดทุนกว่า 4.6 พันล้าน แม้จะเป็นธุรกิจแบบผูกขาด ส่วนก๊าซแอลพีจี ได้เงินชดเชยปีละ 8 พันล้าน ไม่สะท้อนราคาจริงในตลาดโลก
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างรอรับฟังความชัดเจนจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 16 มกราคม 2552 นี้ เกี่ยวกับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เพื่อดูว่าจะมีการปรับราคาขึ้นหรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลให้ชะลอการปรับราคา ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (เอ็นจีวี) ด้วยเช่นกัน
นายณัฐชาติ ระบุว่า ปตท.อยากจะให้ปรับราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี ให้สะท้อนราคาที่แท้จริงในตลาดโลก เนื่องจากบริษัทต้องแบกรับภาระไว้สูงมาก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2547-2551) ปตท.ต้องแบกรับภาระจากการที่ไม่สามารถปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีไว้ประมาณ 8,300 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2551 ปตท.ขาดทุนไปประมาณ 4,600 ล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินการลงทุนสำหรับโครงการก๊าซเอ็นจีวีสูงมากอยู่ที่ประมาณ 67,000 ล้านบาท
“หาก ปตท.ไม่สามารถปรับขึ้นราคาก๊าซทั้งแอลพีจีและเอ็นจีวี ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนลงทุนอย่างมาก และคงต้องชะลอการลงทุนออกไป เพราะทำแล้วไม่คุ้มค่ากับการลงทุน พร้อมกับต้องปรับแผนการลงทุนใหม่ด้วย”
ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ปตท.จะต้องแบกรับภาระราว 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งประเมินจากยอดขายปัจจุบันที่ 3,000 ตันต่อวัน ขณะที่แอลพีจี รัฐจะจ่ายเงินชดเชยให้โรงกลั่นราว 8,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่สะท้อนกับราคาที่แท้จริงที่สูงอยู่กว่ามาก
อย่างไรก็ตาม ปตท.อยากจะให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวีบ้าง เพราะ ปตท.เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด หากจะใช้วิธีทยอยปรับเป็นแบบขั้นบันได ปตท.ก็พร้อมที่จะรับฟัง
