ธุรกิจโรงหนังปีนี้เฮ เหตุหนังดีทั้งไทยและเทศ ตบเท้าสร้างความบันเทิง มั่นใจเรียกคนดูหนังได้อื้อ สวนกระแสเศรษฐกิจขาลง "เอสเอฟ" รุหนักผุดอีก 4 สาขาภูธร เชื่อดูดเงินเข้ากระเป๋าตุงขึ้นอีก 20% สั่นบัลลังก์คู่แข่ง ชิงแชร์เพิ่มเป็น 40% ได้แน่
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้ อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสเอฟซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ พบว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากในปีนี้กลุ่มภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ มีหลายเรื่องที่มั่นใจว่าจะมียอดการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ได้สูง ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ พอตเตอร์, เทอมิเนเตอร์4 และอีกหลายเรื่อง ที่นอกจากกลุ่มคนดูหนังในกรุงเทพฯจะสนใจแล้ว กลุ่มคนดูต่างจังหวัดก็ให้ความสนใจเช่นเดียวกัน รวมไปถึงภาพยนตร์ไทย เรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค3 ที่จะเข้าฉาย ก็เชื่อว่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะได้รับความนิยมอย่างมาก
ดังนั้นในภาพรวมของทางเอสเอฟซีเนม่า ปีนี้จึงมีความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จะมีการขยายสาขาเพิ่มอีก 4 แห่งในต่างจังหวัด คือ ฮาเบอร์มอลล์ แหลมฉบัง เปิดให้บริการแล้ว , เซ็นทรัล พัทยาบีซ กำลังจะเปิดในเดือนม.ค.นี้, เซ็นทรัล ชลบุรี จะเปิดในช่วงเดือนเม.ย.นี้ และเซ็นทรัล ขอนแก่น ในเร็วๆนี้ ซึ่งทั้งหมดใช้งบการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดให้บริการเพิ่มไปแล้วบ้างที่ จังซีลอน ภูเก็ต และล่าสุดกับเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ซึ่งสาขาดังกล่าวใช้งบลงทุนสูงถึง 300 ล้านบาท หลังเปิดให้บริการมา 1 เดือน พบว่าลูกค้าให้การตอบรับที่ดี หรือสามารถขึ้นเป็นสาขาที่ 2 รองจากเซ็นทรัลเวิล์ด ที่มีรายได้สูงสุดในแต่ละเดือน
นอกจากนี้ในส่วนของการรีโนเวตสาขาเดิมที่มีถึง 11 สาขาในกรุงเทพ และ 2 สาขาในต่างจังหวัด ทางบริษัทฯได้มีการรีโนเวตสาขาที่ห้างแหลมทอง จังหวัดระยอง, โรบินสัน จันทรบุรี จากเดิมที่เป็น เอสเอฟ มัลติเพล็กซ์ มาเป็นเอสเอฟซีเนม่าซิตี้ ซึ่งจากกลยุทธ์ที่วางไว้ เชื่อมั่นว่าปีนี้เอสเอฟจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 20% จากยอดรายได้ 1,800 ล้านบาทในปีที่ผ่าน ซึ่งเป็นยอดรายได้ที่ทรงตัว หรือในปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมอยู่ที่ 32% รองจากเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งไม่ต่ำกว่า 70% ในปีก่อน
นายสุพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะเห็นว่าปีนี้ทางบริษัทฯดูจะรุกหนักในการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีความพิเศษอันใด แต่ถือเป็นจังหวะที่ดีที่บริษัทฯได้พาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและกำลังอยู่ในช่วงการขยายสาขา จึงทำให้ปีนี้เอสเอฟ มีการขยายสาขาไปต่างจังหวัดค่อนข้างเยอะ
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด ตามผลสำรวจ พบว่า มีพฤติกรรมไม่แตกต่างไปจากลูกค้าในกรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าราคาบัตรเข้าชมภาพยนตร์ อาจจะต่ำกว่าในกรุงเทพฯเล็กน้อย โดยพฤติกรรมการดูหนังของคนต่างจังหวัด จะมีการซื้ออาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานในโรงภาพยนตร์เช่นเดียวกัน หรือมีการใช้จ่ายในหลัก 100 บาทขึ้นไป ทั้งนี้บริษัทฯยังไมแผนในการปรับราคาตั๋วหนังเพิ่มแต่อย่างไร
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้ อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสเอฟซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ พบว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากในปีนี้กลุ่มภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ มีหลายเรื่องที่มั่นใจว่าจะมียอดการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ได้สูง ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ พอตเตอร์, เทอมิเนเตอร์4 และอีกหลายเรื่อง ที่นอกจากกลุ่มคนดูหนังในกรุงเทพฯจะสนใจแล้ว กลุ่มคนดูต่างจังหวัดก็ให้ความสนใจเช่นเดียวกัน รวมไปถึงภาพยนตร์ไทย เรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค3 ที่จะเข้าฉาย ก็เชื่อว่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะได้รับความนิยมอย่างมาก
ดังนั้นในภาพรวมของทางเอสเอฟซีเนม่า ปีนี้จึงมีความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จะมีการขยายสาขาเพิ่มอีก 4 แห่งในต่างจังหวัด คือ ฮาเบอร์มอลล์ แหลมฉบัง เปิดให้บริการแล้ว , เซ็นทรัล พัทยาบีซ กำลังจะเปิดในเดือนม.ค.นี้, เซ็นทรัล ชลบุรี จะเปิดในช่วงเดือนเม.ย.นี้ และเซ็นทรัล ขอนแก่น ในเร็วๆนี้ ซึ่งทั้งหมดใช้งบการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดให้บริการเพิ่มไปแล้วบ้างที่ จังซีลอน ภูเก็ต และล่าสุดกับเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ซึ่งสาขาดังกล่าวใช้งบลงทุนสูงถึง 300 ล้านบาท หลังเปิดให้บริการมา 1 เดือน พบว่าลูกค้าให้การตอบรับที่ดี หรือสามารถขึ้นเป็นสาขาที่ 2 รองจากเซ็นทรัลเวิล์ด ที่มีรายได้สูงสุดในแต่ละเดือน
นอกจากนี้ในส่วนของการรีโนเวตสาขาเดิมที่มีถึง 11 สาขาในกรุงเทพ และ 2 สาขาในต่างจังหวัด ทางบริษัทฯได้มีการรีโนเวตสาขาที่ห้างแหลมทอง จังหวัดระยอง, โรบินสัน จันทรบุรี จากเดิมที่เป็น เอสเอฟ มัลติเพล็กซ์ มาเป็นเอสเอฟซีเนม่าซิตี้ ซึ่งจากกลยุทธ์ที่วางไว้ เชื่อมั่นว่าปีนี้เอสเอฟจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 20% จากยอดรายได้ 1,800 ล้านบาทในปีที่ผ่าน ซึ่งเป็นยอดรายได้ที่ทรงตัว หรือในปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมอยู่ที่ 32% รองจากเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งไม่ต่ำกว่า 70% ในปีก่อน
นายสุพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะเห็นว่าปีนี้ทางบริษัทฯดูจะรุกหนักในการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีความพิเศษอันใด แต่ถือเป็นจังหวะที่ดีที่บริษัทฯได้พาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและกำลังอยู่ในช่วงการขยายสาขา จึงทำให้ปีนี้เอสเอฟ มีการขยายสาขาไปต่างจังหวัดค่อนข้างเยอะ
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด ตามผลสำรวจ พบว่า มีพฤติกรรมไม่แตกต่างไปจากลูกค้าในกรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าราคาบัตรเข้าชมภาพยนตร์ อาจจะต่ำกว่าในกรุงเทพฯเล็กน้อย โดยพฤติกรรมการดูหนังของคนต่างจังหวัด จะมีการซื้ออาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานในโรงภาพยนตร์เช่นเดียวกัน หรือมีการใช้จ่ายในหลัก 100 บาทขึ้นไป ทั้งนี้บริษัทฯยังไมแผนในการปรับราคาตั๋วหนังเพิ่มแต่อย่างไร
