ยูนิลีเวอร์ ชี้ ราคาน้ำมันลดปั๊มกำลังซื้อปีวัวฟื้น ปัจจัยบวกหนุนตลาดอุปโภคบริโภคส่อเค้าไม่สะเทือนจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทุ่ม 3,500 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตอาหาร-ซักล้าง โหมกิจกรรมการตลาดเต็มสูบ รับมือการตลาดปี 52 ต้องจับชีพจรตลอดเวลา ตั้งเป้าผลประกอบปีนี้โต 8% มากกว่าจีดีพี สานฝันปี 2555 กวาดรายได้ 5 หมื่นล้านบาท หลังปีที่ผ่านมาโต 4%
นายลออิค ทาร์ดี้ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปีนี้มีการขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาหรือมีทิศทางดีกว่า เพราะปีนี้มีปัจจัยบวกราคาน้ำมันลดลง ภาครัฐวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงานให้กับคน ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังการซื้อเพิ่มขึ้น แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอ่อนไหว จากการพึ่งพาการส่งออกและเกษตรกรรมซึ่งปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ไม่มากนัก ปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบระหว่างปี 2548 กระทั่งปี 2551 ราคาน้ำมันผันผวนมาโดยตลอด และเมื่อปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันพุ่งสูงที่สุด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็สูง ราคาสินค้ากลุ่มอาหารปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากำลังการซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะต่างจังหวัดลดลง แต่ปีนี้เชื่อว่ากำลังการซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้น
ทั้งนี้ พบว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเติบโต 3-4% ส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคลดการซื้อสินค้าลง แต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น เมื่อพบว่าผู้บริโภคซื้อสินค้าราคาสูงขยายตัวเพิ่มขึ้น และในทางกลับกันสินค้ามีราคาถูก อัตราการขยายตัวลดลง สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคไทยพร้อมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ยูนิลีเวอร์ เติบโตถึง 8% อย่างไรก็ตาม มองว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ น่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนกลุ่มสินค้าจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ
เป้าหมายของบริษัทภายในปี 2555 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า จะมีรายได้ 5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 8% ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโต 4% เท่ากับจีดีพี ดังนั้น ปีนี้เป้าหมายการเติบโต 8% หรือมากกว่าการเติบโตของจีดีพี โดยทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่อง สำหรับปีนี้ได้ทุ่มงบกว่า 3,500 ล้านบาท โดยเป็นงบลงทุน 1,500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกลุ่มซักล้างและอาหารเป็นหลัก และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ขณะที่งบการตลาด 2,000 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และการดำเนินกิจกรรมการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคซึ่งปีนี้คาดเดายาก เพราะมีปัจจัยบวกและลบ การดำเนินการตลาดต้องจับชีพจรตลอดเวลาและพิจารณาอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญการดำเนินการตลาดอย่างรับผิดชอบสังคม (Coporate Socail Reponsibility : CSR) ภายใต้การใช้งบ 60 ล้านบาท โดย 90% เป็นงบแคมเปญลานเล่นบรีส สร้างสนามเด็กเล่นให้ครบ 200 แห่งในสิ้นปีนี้จากปัจจุบัน 138 แห่ง อีก 10% เป็นอื่นๆ
“ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองไทย ยูนิลีเวอร์ ยังคงลงทุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมุ่งมั่นในการลงทุน จากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุน 1,500 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการวางแผนโครงการความรับผิดชอบสังคมและรักษาระดับการจ้างงาน” นายทาร์ดี้ กล่าว
สำหรับผลประกอบการปีที่ผ่านมาเติบโต 4% มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เรโซน่า ผลิตภัณฑ์ชำระล้างส่วนบุคคล วาสลีน ลักส์ พอนดส์ ไอศกรีมวอลล์ และ โจ๊ก มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยครีมอาบน้ำวาสลีน เป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตสูง กระทั่งขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้วยการครองส่วนแบ่ง 40% ในช่วง 4 เดือน ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ชำระล้างและทำความสะอาดผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย ผลิตภัณฑ์โจ๊ก และผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและกลิ่นกาย มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เติบโตมาจากการบริหารด้านซัพพลายเชน การควบคุมและจัดการเพิ่มผลผลิตองค์กรโดยรวม เป็นต้น
“ในฐานะผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภค ว่า การที่ประเทศไทยจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ ภาครัฐต้องปรับสาธารณูปโภค โดยวางรากฐานให้มีความแข็งแกร่ง และวางนโยบายด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงแนวทางการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมาก” นายทาร์ดี้ กล่าว
นายลออิค ทาร์ดี้ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปีนี้มีการขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาหรือมีทิศทางดีกว่า เพราะปีนี้มีปัจจัยบวกราคาน้ำมันลดลง ภาครัฐวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงานให้กับคน ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังการซื้อเพิ่มขึ้น แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอ่อนไหว จากการพึ่งพาการส่งออกและเกษตรกรรมซึ่งปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ไม่มากนัก ปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบระหว่างปี 2548 กระทั่งปี 2551 ราคาน้ำมันผันผวนมาโดยตลอด และเมื่อปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันพุ่งสูงที่สุด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็สูง ราคาสินค้ากลุ่มอาหารปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากำลังการซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะต่างจังหวัดลดลง แต่ปีนี้เชื่อว่ากำลังการซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้น
ทั้งนี้ พบว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเติบโต 3-4% ส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคลดการซื้อสินค้าลง แต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น เมื่อพบว่าผู้บริโภคซื้อสินค้าราคาสูงขยายตัวเพิ่มขึ้น และในทางกลับกันสินค้ามีราคาถูก อัตราการขยายตัวลดลง สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคไทยพร้อมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ยูนิลีเวอร์ เติบโตถึง 8% อย่างไรก็ตาม มองว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ น่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนกลุ่มสินค้าจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ
เป้าหมายของบริษัทภายในปี 2555 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า จะมีรายได้ 5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 8% ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโต 4% เท่ากับจีดีพี ดังนั้น ปีนี้เป้าหมายการเติบโต 8% หรือมากกว่าการเติบโตของจีดีพี โดยทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่อง สำหรับปีนี้ได้ทุ่มงบกว่า 3,500 ล้านบาท โดยเป็นงบลงทุน 1,500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกลุ่มซักล้างและอาหารเป็นหลัก และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ขณะที่งบการตลาด 2,000 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และการดำเนินกิจกรรมการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคซึ่งปีนี้คาดเดายาก เพราะมีปัจจัยบวกและลบ การดำเนินการตลาดต้องจับชีพจรตลอดเวลาและพิจารณาอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญการดำเนินการตลาดอย่างรับผิดชอบสังคม (Coporate Socail Reponsibility : CSR) ภายใต้การใช้งบ 60 ล้านบาท โดย 90% เป็นงบแคมเปญลานเล่นบรีส สร้างสนามเด็กเล่นให้ครบ 200 แห่งในสิ้นปีนี้จากปัจจุบัน 138 แห่ง อีก 10% เป็นอื่นๆ
“ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองไทย ยูนิลีเวอร์ ยังคงลงทุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมุ่งมั่นในการลงทุน จากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุน 1,500 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการวางแผนโครงการความรับผิดชอบสังคมและรักษาระดับการจ้างงาน” นายทาร์ดี้ กล่าว
สำหรับผลประกอบการปีที่ผ่านมาเติบโต 4% มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เรโซน่า ผลิตภัณฑ์ชำระล้างส่วนบุคคล วาสลีน ลักส์ พอนดส์ ไอศกรีมวอลล์ และ โจ๊ก มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยครีมอาบน้ำวาสลีน เป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตสูง กระทั่งขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้วยการครองส่วนแบ่ง 40% ในช่วง 4 เดือน ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ชำระล้างและทำความสะอาดผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย ผลิตภัณฑ์โจ๊ก และผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและกลิ่นกาย มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เติบโตมาจากการบริหารด้านซัพพลายเชน การควบคุมและจัดการเพิ่มผลผลิตองค์กรโดยรวม เป็นต้น
“ในฐานะผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภค ว่า การที่ประเทศไทยจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ ภาครัฐต้องปรับสาธารณูปโภค โดยวางรากฐานให้มีความแข็งแกร่ง และวางนโยบายด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงแนวทางการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมาก” นายทาร์ดี้ กล่าว