แฉ! ปตท.ลงทุนพลาด เจ๊งซื้อน้ำมันล่วงหน้าในตลาดโลก ฉุดกำไรปลายปี 51 ทรุด เพราะตัวเลขรับรู้พอดีในเดือนนี้ ราคาหุ้นรูดยกแผง “ประเสริฐ” ยอมรับผลการดำเนินงาน ไตรมาส 4 ปี 2551 มีโอกาสติดลบ หลังกลุ่มโรงกลั่นขาดทุนหนัก เตรียมลดค่าใช้จ่าย-ชะลอการลงทุน เพื่อรักษารายได้ที่ระดับ 2 ล้านล้านบาท
วันนี้ (09 มกราคม 2552) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2551 มีโอกาสอาจออกมาติดลบ เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นในเครือขาดทุนอย่างหนัก จากผลกระทบความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ผลดำเนินงานทั้งปี 2551 ยังคงมีกำไร และรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.2 ล้านล้านบาท เพราะมีการบันทึกบัญชีล่วงหน้าไปแล้ว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2552 คาดว่า รายได้และกำไรมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน ตามราคาน้ำมันที่ประเมิน ว่า น่าจะมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยในส่วนรายได้ปี 2552 คาดว่า จะต่ำลงประมาณ 10% จากปี 2551 แต่บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษากำไรให้ใกล้เคียงกับปีก่อน ด้วยการลดรายจ่ายและการลงทุน ขณะเดียวกัน ก็จะเพิ่มยอดขายไปพร้อมกัน
“ทิศทางในปี 2552 คาดว่า รายได้จะลดลงจากปี 2551 ที่ระดับ 2 ล้านล้านบาท เพราะราคาขายก๊าซและน้ำมันลดลงเกือบทุกตัว แต่มีวอลุ่มใหม่เข้ามาชดเชย และกำไรจะพยายามรักษาให้ใกล้เคียงกับปี 2551 ให้ได้ โดยต้องลดการลงทุนและค่าใช้จ่าย”
อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ คาดว่า ธุรกิจในกลุ่ม ปตท.จะกลับฟื้นตัวทั้งธุรกิจโรงกลั่น ขุดเจาะน้ำมัน และธุรกิจน้ำมัน โดยมั่นใจว่าจะกลับมาเห็นรายได้และกำไรที่ดีมากในปี 2554 เหมือนในอดีต เพราะธุรกิจปิโตรเคมี ก็จะผ่านพ้นช่วงขาลง
ส่วนการลงทุนปี 2552 ปตท.จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยจะไม่มีการลงทุนที่ใช้เงินจำนวนมาก แต่เป็นการลงทุนโครงการต่อเนื่องเท่านั้น รวมทั้งปรับระบบภายในองค์กร ซึ่งคาดว่า จะใช้เงินลงทุนไม่มาก นอกจากนี้ การลงทุนท่อก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ชะลอการลงทุน ขณะที่แผนการขยายสถานีบริการ NGV ก็คงจะมีการทบทวน โดยลดลงเหลือ 350-400 สาขา จากแผนเดิมที่จะขยายมากว่า 400 แห่ง
“ในปี 2552 มองว่า กลุ่มปิโตรเคมีจะมีกำไร แม้ว่าจะอยู่ในช่วงขาลง ส่วนธุรกิจโรงกลั่น ก็จะมีกำไรหลังจากปี 2551 ขาดทุน ธุรกิจขุดเจาะและสำรวจ ก็คงได้รับผลกระทบบ้างจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง”
นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งหลังปี 2551 คาดว่า คงจะต่ำกว่าครึ่งแรกของปี 2551 ที่จ่ายไปแล้ว อัตราหุ้นละ 6 บาท เนื่องจากการปรับตัวของกำไรที่ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม คงจะต้องต้องดูข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย และเชื่อว่าผู้ถือหุ้นจะเข้าใจสถานการณ์ของบริษัท
ส่วนแผนการซื้อหุ้นคืนบริษัทในเครือ ปตท.นายประเสริฐ กล่าวว่า หากดัชนีปรับตัวลดลง หลุดไปต่ำกว่า 400 จุด ก็จะพิจารณาในการเข้าไปซื้อ แต่ขณะนี้หยุดไว้ก่อนหลังจากที่ได้ทยอยซื้อไปแล้วทั้งซื้อตรงในหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC รวมถึงหุ้นบริษัทอื่นในเครือที่ซื้อผ่านกองทุน โดยที่ผ่านมา ปตท.ได้เข้าไปซื้อหุ้นในเครือประมาณ 4 พันล้านบาท จากวงเงินที่เตรียมไว้ 2 หมื่นล้านบาท
**โบรกฯ ไขปริศนา ลงทุนพลาด-เจ๊งน้ำมันล่วงหน้า
โดยเช้าวันนี้ โบรกเกอร์หลายแห่ง ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม ปตท.โดยคาดการณ์ว่า ปตท.ได้ขาดทุนอย่างหนักจากการลงทุนซื้อน้ำมันล่วงหน้าในตลาดโลก 6 เดือนก่อน ช่วงที่ระดับราคาสูงสุด 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งจะเริ่มมีการรับรู้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ เพราะครบกำหนดส่งมอบจริง
“ช่วงที่น้ำมันโลกพุ่งขึ้นสูงสุด บริษัทน้ำมันหลางแห่งต่างคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้มีการเร่งสั่งซื้อน้ำมันเข้ามาในสตอกเพื่อเก็งกำไรส่วนต่างราคา และฟันส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน”
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส เตือนนักลงทุนว่า ให้ระวัง Flows ขายเข้ามาในหุ้นในกลุ่ม PTT แรงในช่วงบ่ายหลังจากโบรกเกอร์หลายแห่ง ต่างมีการคาดการณ์กันว่า หุ้นกลุ่ม ปตท.จะประกาศขาดทุนรวมทั้งกลุ่ม ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2551
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ทรินิตี้ ระบุว่า ผลประกอบการของ ปตท.ไตรมาส 4 ปี 2551 คาดว่า จะออกมาไม่ดี และมีโอกาสรายงานกำไรสุทธิทั้งปีเหลือแค่ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากขาดทุนในบริษัทลูก ได้แก่ TOP ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท PTTAR ประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท และ IRPC ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
พร้อมคาดการณ์ว่า แนวโน้มในปีหน้า ยังคงไม่ดีนัก เนื่องจากบริษัท ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ที่เป็นกลจักรสำคัญ อ่อนแรงลงตามราคาน้ำมันโลก ซึ่งมุมมองของ ปตท.คาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยปีหน้าที่เพียง 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาหุ้น PTTEP ในปัจจุบันแม้จะลงมามาก แต่ช่วงสั้นดูเหมือนจะยังไม่สะท้อนต่อผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2551 และแนวโน้มของปีหน้า ในเชิงกลยุทธ์มอง PTTEP มีความเสี่ยงทางลงมากกว่าเนื่องจากปีหน้าไม่มีตัวช่วยอื่นจากราคาน้ำมัน ในขณะที่หุ้น ปตท. แม้ไตรมาส 4 ปี 2551 น่าจะออกมาแย่มาก แต่เชื่อว่าในปีหน้า สถานการณ์ของบริษัทลูกน่าจะไม่เกิด stock loss มากเช่นปีนี้
**ราคาหุ้นรูดลงยกแผง นักลงทุนเผ่นกระเจิง
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 15.10 น.พบว่า มีการเทขายหุ้นกลุ่ม ปตท.อย่างหนัก โดยราคาหุ้น PTT อยู่ที่ 178 บาท ลดลง 5 บาท เปลี่ยนแปลง -2.73% มูลค่าซื้อขาย 967.62 ล้านบาท PTTEP อยู่ที่ 112.00 บาท ลดลง 3.00 บาท เปลี่ยนแปลง -2.61% มูลค่าซื้อขาย 757.96 ล้านบาท PTTAR อยู่ที่ 10.60 บาท ลดลง 0.40 บาท เปลี่ยนแปลง -3.64% มูลค่าซื้อขาย 205.08 ล้านบาท TOP อยู่ที่ 24.80 บาท ลดลง 0.95 บาท เปลี่ยนแปลง -3.69% มูลค่าซื้อขาย 211.56 ล้านบาท