ไบเออร์สด๊อรฟ เชื่อไทยมีศักยภาพ ทุ่ม 500 ล้านบาท เดินหน้าลงทุนฐานการผลิตใหม่ ส่วนปีนี้ยังเติบโตดีอยู่ที่ 20% มูลค่า 5,000 ล้านบาท
นายราล์ฟ กุสโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นีเวีย และ ยูเซอรีน เปิดเผยว่า แม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะมีปัญหาทางการเมืองและสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ทางบริษัทยังมีความเชื่อมั่นและยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุด ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการลงทุมกว่า 500 ล้านบาท สำหรับการสร้างโรงงานการผลิตใหม่ คาดว่า จะแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.ปีหน้า
ซึ่งโรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ เฟรชแคร์, บอดี้, ฟอร์เมน และระงับกลิ่นกาย ได้อีก 1 เท่าตัว จาก 150 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 300 ล้านชิ้น โดยกว่า50% จะเป็นการส่งออกไปยังออสเตรเลีย เอเชีย และในยุโรป และอีก 50% จะเป็นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศ สำหรับการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่นี้ ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญในรอบ 8 ปี จากการลงทุนครั้งสุดท้ายใน 2543
ขณะที่ในแถบอาเซียนนี้ กลุ่มไบเออร์สด๊อรฟ มีโรงงานอยู่ที่จีน และอินโดนีเซีย ด้วย โดยไทยถือเป็นตลาดใหญ่สุดและเป็นประเทศที่สำคัญอันดับ 1 ของไบเออร์สด๊อรฟ ขณะที่เวียดนามเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด ปีละไม่ต่ำกว่า 50%
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีหน้า บริษัทจะยังคงใช้กลยุทธ์เช่นเดียวกับในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวนิวโปรดักส์ใหม่ๆ การรีลอนด์ผลิตภัณฑ์เดิม เพิ่มคุณประโยชน์ใหม่ๆกระตุ้นตลาด ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจากทั้ง 2 ส่วนนี้ สามารถสร้างยอดขายให้บริษัท ว่า 40% และอีก 60% มาจากสินค้าเก่าที่มีวางจำหน่ายอยู่เดิม ดังนั้น ในปีหน้าคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เชื่อว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวชะลอตัวลง ดังนั้น ในปีหน้าจึงมองว่าสินค้าในกลุ่มซันบล็อก อาจจะได้รับผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมแล้ว คาดว่า จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังมีสัดส่วนยอดขายที่น้อยอยู่
สำหรับตลาดคอสเมติกรวมกับแชมพูและสบู่ ในปีนี้คาดว่า จะมีการเติบโตที่ 6.5% ขณะที่บริษัทเติบโตถึง 18% โดยมีมาร์เก็ตแชร์กว่า 7.9% ขณะที่ในปีก่อนตลาดนี้มีการเติบโต 9.7% ขณะที่ตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย ไบเออร์สด๊อรฟมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 65% เป็นอันดับหนึ่งของตลาดนี้ ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มผู้ชายสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 40% เทียบกับรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผู้ชายนี้มีแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะนีเวีย ฟอร์เมน มีการเติบโตขึ้นในปีนี้ถึง 30% คาดว่า ปีหน้า นีเวีย ฟอร์เมน จะเติบโตขึ้นกว่า 2.5เท่าของตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย
โดยในส่วนของรายได้รวมปีนี้ เชื่อมั่นว่า จะเติบโตประมาณ 20% คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท มาจากผลิตภัณฑ์ 2 แบรนด์หลัก คือ นีเวีย ซึ่งปีนี้มีการเติบโตกว่า 18% และยูเซอรีน ที่ในปีนี้มีการเติบโตถึง 35%
นายราล์ฟ กุสโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นีเวีย และ ยูเซอรีน เปิดเผยว่า แม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะมีปัญหาทางการเมืองและสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ทางบริษัทยังมีความเชื่อมั่นและยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุด ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการลงทุมกว่า 500 ล้านบาท สำหรับการสร้างโรงงานการผลิตใหม่ คาดว่า จะแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.ปีหน้า
ซึ่งโรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ เฟรชแคร์, บอดี้, ฟอร์เมน และระงับกลิ่นกาย ได้อีก 1 เท่าตัว จาก 150 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 300 ล้านชิ้น โดยกว่า50% จะเป็นการส่งออกไปยังออสเตรเลีย เอเชีย และในยุโรป และอีก 50% จะเป็นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศ สำหรับการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่นี้ ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญในรอบ 8 ปี จากการลงทุนครั้งสุดท้ายใน 2543
ขณะที่ในแถบอาเซียนนี้ กลุ่มไบเออร์สด๊อรฟ มีโรงงานอยู่ที่จีน และอินโดนีเซีย ด้วย โดยไทยถือเป็นตลาดใหญ่สุดและเป็นประเทศที่สำคัญอันดับ 1 ของไบเออร์สด๊อรฟ ขณะที่เวียดนามเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด ปีละไม่ต่ำกว่า 50%
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีหน้า บริษัทจะยังคงใช้กลยุทธ์เช่นเดียวกับในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวนิวโปรดักส์ใหม่ๆ การรีลอนด์ผลิตภัณฑ์เดิม เพิ่มคุณประโยชน์ใหม่ๆกระตุ้นตลาด ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจากทั้ง 2 ส่วนนี้ สามารถสร้างยอดขายให้บริษัท ว่า 40% และอีก 60% มาจากสินค้าเก่าที่มีวางจำหน่ายอยู่เดิม ดังนั้น ในปีหน้าคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เชื่อว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวชะลอตัวลง ดังนั้น ในปีหน้าจึงมองว่าสินค้าในกลุ่มซันบล็อก อาจจะได้รับผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมแล้ว คาดว่า จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังมีสัดส่วนยอดขายที่น้อยอยู่
สำหรับตลาดคอสเมติกรวมกับแชมพูและสบู่ ในปีนี้คาดว่า จะมีการเติบโตที่ 6.5% ขณะที่บริษัทเติบโตถึง 18% โดยมีมาร์เก็ตแชร์กว่า 7.9% ขณะที่ในปีก่อนตลาดนี้มีการเติบโต 9.7% ขณะที่ตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย ไบเออร์สด๊อรฟมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 65% เป็นอันดับหนึ่งของตลาดนี้ ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มผู้ชายสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 40% เทียบกับรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผู้ชายนี้มีแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะนีเวีย ฟอร์เมน มีการเติบโตขึ้นในปีนี้ถึง 30% คาดว่า ปีหน้า นีเวีย ฟอร์เมน จะเติบโตขึ้นกว่า 2.5เท่าของตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย
โดยในส่วนของรายได้รวมปีนี้ เชื่อมั่นว่า จะเติบโตประมาณ 20% คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท มาจากผลิตภัณฑ์ 2 แบรนด์หลัก คือ นีเวีย ซึ่งปีนี้มีการเติบโตกว่า 18% และยูเซอรีน ที่ในปีนี้มีการเติบโตถึง 35%
