“ไชยา”รับสภาพเศรษฐกิจโลก คู่ค้าถดถอย แถมปัญหาการเมืองในประเทศวุ่นวาย ส่อหดเป้าส่งออกปีหน้าจาก 10% ลงเหลือ 5% ตามที่ครม.ตั้งไว้ เอกชนบ่นอุบ ปิดสุวรรณภูมิทำส่งออกเจ๊งพันล้าน ผัก ผลไม้ ดอกไม้เน่าคาโกดัง คาดมีผลต่อเนื่อง ลูกค้าอาจทิ้งออเดอร์ เผยหากยืดเยื้อ จะยิ่งกระทบความเชื่อมั่น
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์จนถึงขณะนี้ ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ประเทศคู่ค้า และปัญหาการเมืองในไทย ซึ่งพบว่าล้วนแต่มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยเป็นอย่างมาก กระทรวงพาณิชย์จะมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 ใหม่ ซึ่งคาดว่าโอกาสที่จะเติบโต 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้น่าจะเป็นไปได้ยาก แต่จะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดไว้ที่ 5% ให้ได้
“ยอมรับว่ายอดส่งออกโอกาสเติบโต 10% คงทำได้ยาก สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับไทยเพียงอย่างเดียว เศรษฐกิจโลกก็มีปัญหา คู่ค้าก็มีปัญหา แล้วไหนจะเรื่องปัญหาการเมืองในไทยอีก ที่ขณะนี้วุ่นวายจนกระทบไปหมด และยิ่งถ้ายืดเยื้อ ส่งออกกระทบแน่ แต่กระทรวงพาณิชย์จะพยายามผลักดันส่งออกให้มีการขยายตัวต่อไป เพราะถ้าทำได้ 5% ก็หรูแล้ว”นายไชยากล่าว
ส่วนกรณีที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศลุกลาม และมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้สินค้าไทยที่รอส่งออกตกค้าง และหากปัญหายุติได้ช้า จะทำให้ส่งออกปีนี้ในภาพรวมได้รับผลกระทบไปด้วย
นายวัลลภ วิตนากร กรรมการบริหารสภาผู้ส่งออกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลกระทบให้การส่งออกเสียหายนับพันล้านบาท โดยเฉพาะสินค้าส่งออกประเภท อาหารสด ผัก ผลไม้ ดอกไม้ รวมถึงกลุ่มอีเลคทรอนิกส์ที่ขนส่งทางอากาศแบบรายวัน ไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ตามกำหนด และหากสถานการณ์ยืดเยื้อจะเพิ่มความเสียหายได้อีก เพราะสินค้าเหล่านี้เน่าเสียง่าย ไม่สามารถเก็บโกดังได้นาน และจะกระทบต่อเนื่องถึงสภาพคล่องธุรกิจในอนาคต
“คาดว่าต่อไปจะมีผู้นำเข้า อาจฉวยโอกาสใช้ปัญหาเรื่องการปิดสนามบิน หรือการส่งออกล่าช้า เป็นข้ออ้างในการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้ากับไทยได้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี หลายประเทศคู่ค้าก็ชะลอการสั่งซื้อ หรือยืดเวลาชำระเงินกับไทย ขณะเดียวกัน การปิดสนามบินจะทำให้การเจรจาการค้ามีปัญหา เพราะสินค้าหลายประเภทต้องมีการเดินทางเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดสินค้าถึงที่ ซึ่งเมื่อไม่มีการเดินทางจะทำให้ออเดอร์อนาคตลดลง และเป็นปัญหาต่อการส่งออกระยะยาวแน่นอน”นายวัลลภกล่าว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายย่อยยับ เพราะไม่มีการชุมนุมประเทศไหนที่มาปิดล้อมสนามบินจนสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว และกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคมแบบนี้ และขณะนี้ไม่มีลูกค้าจากต่างประเทศกล้าเดินทางเข้ามา ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อก็กระทบต่อการส่งออกอย่างมาก จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องแยกแยะ ปัญหาการเมือง การปกครอง กับเศรษฐกิจ และสังคมออกจากกัน ส่วนอุตสาหกรรมแช่เยือกแข็งยังไม่ได้รับความเสียหาย เพราะส่วนใหญ่ขนส่งทางเรือ
นายเดช พัฒนเศรษฐพงษ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนขณะนี้ทำงานไม่ได้ เพราะการปิดสนามบิน และการประท้วงในขณะนี้ ทำให้ไทยได้รับความเสียหายไม่ใช่เพียงแค่เม็ดเงินจากการท่องเที่ยว หรือเม็ดเงินจากความเสียหายของการเดินทางหรือสิ่งของ แต่เป็นความเสียหายของความเชื่อมั่นที่จะเป็นผลต่อไปในระยะยาว
“ตอนนี้ภาพลักษณ์ไทยกู่ไม่กลับแล้ว ถ้าจะให้พูด แต่ก่อนมีปัญหาการเมือง หรือต่อให้ปฎิวัติ ทุกคนรู้ว่ากรุงเทพฯ ยังปลอดภัย เรียบร้อย และธุรกิจก็เดินต่อไปได้ แต่ตอนนี้ เราได้รับผลกระทบ ความเสียหายก็กู่ไม่กลับแล้ว”นายเดชกล่าว
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์จนถึงขณะนี้ ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ประเทศคู่ค้า และปัญหาการเมืองในไทย ซึ่งพบว่าล้วนแต่มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยเป็นอย่างมาก กระทรวงพาณิชย์จะมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 ใหม่ ซึ่งคาดว่าโอกาสที่จะเติบโต 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้น่าจะเป็นไปได้ยาก แต่จะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดไว้ที่ 5% ให้ได้
“ยอมรับว่ายอดส่งออกโอกาสเติบโต 10% คงทำได้ยาก สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับไทยเพียงอย่างเดียว เศรษฐกิจโลกก็มีปัญหา คู่ค้าก็มีปัญหา แล้วไหนจะเรื่องปัญหาการเมืองในไทยอีก ที่ขณะนี้วุ่นวายจนกระทบไปหมด และยิ่งถ้ายืดเยื้อ ส่งออกกระทบแน่ แต่กระทรวงพาณิชย์จะพยายามผลักดันส่งออกให้มีการขยายตัวต่อไป เพราะถ้าทำได้ 5% ก็หรูแล้ว”นายไชยากล่าว
ส่วนกรณีที่ปัญหาการเมืองภายในประเทศลุกลาม และมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้สินค้าไทยที่รอส่งออกตกค้าง และหากปัญหายุติได้ช้า จะทำให้ส่งออกปีนี้ในภาพรวมได้รับผลกระทบไปด้วย
นายวัลลภ วิตนากร กรรมการบริหารสภาผู้ส่งออกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลกระทบให้การส่งออกเสียหายนับพันล้านบาท โดยเฉพาะสินค้าส่งออกประเภท อาหารสด ผัก ผลไม้ ดอกไม้ รวมถึงกลุ่มอีเลคทรอนิกส์ที่ขนส่งทางอากาศแบบรายวัน ไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ตามกำหนด และหากสถานการณ์ยืดเยื้อจะเพิ่มความเสียหายได้อีก เพราะสินค้าเหล่านี้เน่าเสียง่าย ไม่สามารถเก็บโกดังได้นาน และจะกระทบต่อเนื่องถึงสภาพคล่องธุรกิจในอนาคต
“คาดว่าต่อไปจะมีผู้นำเข้า อาจฉวยโอกาสใช้ปัญหาเรื่องการปิดสนามบิน หรือการส่งออกล่าช้า เป็นข้ออ้างในการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้ากับไทยได้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี หลายประเทศคู่ค้าก็ชะลอการสั่งซื้อ หรือยืดเวลาชำระเงินกับไทย ขณะเดียวกัน การปิดสนามบินจะทำให้การเจรจาการค้ามีปัญหา เพราะสินค้าหลายประเภทต้องมีการเดินทางเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดสินค้าถึงที่ ซึ่งเมื่อไม่มีการเดินทางจะทำให้ออเดอร์อนาคตลดลง และเป็นปัญหาต่อการส่งออกระยะยาวแน่นอน”นายวัลลภกล่าว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายย่อยยับ เพราะไม่มีการชุมนุมประเทศไหนที่มาปิดล้อมสนามบินจนสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว และกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคมแบบนี้ และขณะนี้ไม่มีลูกค้าจากต่างประเทศกล้าเดินทางเข้ามา ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อก็กระทบต่อการส่งออกอย่างมาก จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องแยกแยะ ปัญหาการเมือง การปกครอง กับเศรษฐกิจ และสังคมออกจากกัน ส่วนอุตสาหกรรมแช่เยือกแข็งยังไม่ได้รับความเสียหาย เพราะส่วนใหญ่ขนส่งทางเรือ
นายเดช พัฒนเศรษฐพงษ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนขณะนี้ทำงานไม่ได้ เพราะการปิดสนามบิน และการประท้วงในขณะนี้ ทำให้ไทยได้รับความเสียหายไม่ใช่เพียงแค่เม็ดเงินจากการท่องเที่ยว หรือเม็ดเงินจากความเสียหายของการเดินทางหรือสิ่งของ แต่เป็นความเสียหายของความเชื่อมั่นที่จะเป็นผลต่อไปในระยะยาว
“ตอนนี้ภาพลักษณ์ไทยกู่ไม่กลับแล้ว ถ้าจะให้พูด แต่ก่อนมีปัญหาการเมือง หรือต่อให้ปฎิวัติ ทุกคนรู้ว่ากรุงเทพฯ ยังปลอดภัย เรียบร้อย และธุรกิจก็เดินต่อไปได้ แต่ตอนนี้ เราได้รับผลกระทบ ความเสียหายก็กู่ไม่กลับแล้ว”นายเดชกล่าว
