“อากู๋” ไม่หวั่นพิษเศรษฐกิจปีหน้า ตะลุยต่างประเทศบุกยุโรป และอเมริกา จีบ บ.ต่างชาติ เป็นดิสทริบิวเตอร์ช่วยกระจายคอนเทนต์ผ่านโมเดลธุรกิจดิจิตอลดาวน์โหลด ส่วนย่านเอเชีย ขอกรุยทางต่อ ล่าสุด ซุ่มขุดทองในลาว ผุด “ลาว จีเอ็มเอ็ม” โกอินเตอร์ร่วม คาดรายได้ดิจิตอลมีกำไรกว่า 50% ในปีหน้า พร้อมโกยรายได้ที่มากกว่าปีนี้แน่
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปีหน้า ทางบริษัทจะเน้นธุรกิจต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ล่าสุด ได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัทต่างชาติที่ชื่อ Orchard เพื่อเป็นดิสทริบิวเตอร์เข้าไปทำธุรกิจเพลงให้ในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา ในลักษณะของการขายคอนเทนต์เพลงให้กับทางบริษัทด้านเทเลคอมในแต่ละประเทศ เพื่อนำคอนเทนต์นั้นไปให้บริการดาวน์โหลดต่อไป ซึ่งกลุ่มเป้าหมายแรกของตลาดต่างประเทศนี้จะเน้นเป็นกลุ่มคนไทยและคนลาว ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน
“การบุกตลาดต่างประเทศแถบยุโรปและอเมริกานี้ แถบจะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างไร เพราะเรามีคอนเทนต์อยู่ในมือ ซึ่งได้มีการลงทุนมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น การทำตลาดต่างประเทศ รุกกลุ่มธุรกิจดิจิตอลดาวน์โหลดนี้ เบื้องต้นจะมีการนำศิลปินไปแสดงโชว์ เพื่อให้ลูกค้าเกิดการรับรู้และมีการดาวน์โหลดเพลงต่อไป”
สำหรับการนำศิลปินไปแสดงโชว์ในต่างประเทศนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกนำไปใช้ในการธุรกิจต่างประเทศในย่านเอเชียอยู่แล้ว ซึ่งประเทศในเอเชียที่บริษัทเข้าไปทำธุรกิจนั้น จะเป็นการเข้าไปร่วมกับพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศเอง ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือ ญี่ปุ่น
ล่าสุด ทางบริษัทได้ร่วมกับทางสมาคมเกี่ยวกับธุรกิจบันเทิงและเพลงในประเทศลาว ก่อตั้งบริษัท ชื่อลาวจีเอ็มเอ็ม โดยทางจีเอ็มเอ็ม มีหุ้นอยู่ 49% ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อที่จะยกระดับมาตรฐานเพลงลาวรวมไปถึงร่วมกันแก้ไขปัญหาการธุรกิจเพลงของลาวให้สามารถทำราคาได้ดีกว่านี้ ซึ่งจะมีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดียวกับจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพลง นักร้อง ซึ่งเป็นทั้งนักร้องลาว รวมถึงการนำคอนเทนต์เพลงไทยเข้าไปทำตลาดด้วย นอกจากนี้ บริษัทจะนำเอาคอนเท้นท์เพลงลาวมาเป็นส่วนหนึ่งของการนำไปทำตลาดต่างประเทศในยุโรปและอเมริกาด้วย
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า จะเห็นว่า ในปีหน้าบริษัทจะรุกหนักในธุรกิจด้านคอนเทนต์ดิจิตอล โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ซึ่งมองว่ารายได้ที่จะมาจากด้านดิจิตอลคอนเทนต์ จะมีกำไรมากถึง 50% จากรายได้รวมดิจิตอล บวกกับในปีหน้าที่จะรุกหนักเกี่ยวกับทีวีดาวเทียมที่จะเริ่มทยอยเปิดให้ครบทั้ง 5 ช่องตามแผนที่วางไว้ เชื่อว่า จะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะทำให้ภาพรวมของแกรมมี่ดีกว่าปีนี้ ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะกังวลในเรื่องของมีเดีย หรือเรื่องของงบโฆษณาในปีหน้าที่อาจจะน้อยลงจากการที่บริษัทข้ามชาติงดใช้เงินนั้น เชื่อว่า คอนเทนต์รายการทีวีที่มีอยู่ ถือเป็นรายการที่ติดลำดับต้นๆ ที่มีผู้ชมให้ความสนใจ ดังนั้น จึงมองว่าโฆษณาในแต่ละรายการยังจะดีอยู่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของทีวีดาวเทียม พบว่า หลังจากเปิดช่องแรก คือ แฟนทีวีไปแล้วกว่า 1 เดือน เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สามารถทำรายได้คุ้มทุน กล่าวคือ รายรับและรายจ่ายเท่ากัน โดยในเดือน พ.ย.นี้ มองว่า จะมีรายได้จากโฆษณาและดาวน์โหลดกว่า 2-3 ล้านบาท จากลูกค้าหลายราย เช่น โอสถสภา และ เอไอเอส ซึ่งแผนระยะต่อไปของช่องแฟนทีวี ช่วงกลางเดือน ธ.ค.จะเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาในช่อง เช่น โปรแกรมอินเทอร์เน็ตเว็บแคม เชื่อว่า จะเป็นการต่อยอดเพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้ได้มากขึ้น
ทั้งในเรื่องของรายได้ที่คาดว่าจะสูงกว่าปีนี้ รวมถึงกำไรที่น่าจะมากกว่าปีนี้เช่นกัน ซึ่งรายได้รวมปีนี้ของแกรมมี่ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่มีการเติบโตของรายได้สูงสุด ตามที่คาดการณ์ไว้ว่า รายได้รวมปีนี้เกินเป้าที่วางไว้กว่า 8,000 ล้านบาท กำไรสูงสุด 700 ล้านบาท
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปีหน้า ทางบริษัทจะเน้นธุรกิจต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ล่าสุด ได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัทต่างชาติที่ชื่อ Orchard เพื่อเป็นดิสทริบิวเตอร์เข้าไปทำธุรกิจเพลงให้ในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา ในลักษณะของการขายคอนเทนต์เพลงให้กับทางบริษัทด้านเทเลคอมในแต่ละประเทศ เพื่อนำคอนเทนต์นั้นไปให้บริการดาวน์โหลดต่อไป ซึ่งกลุ่มเป้าหมายแรกของตลาดต่างประเทศนี้จะเน้นเป็นกลุ่มคนไทยและคนลาว ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน
“การบุกตลาดต่างประเทศแถบยุโรปและอเมริกานี้ แถบจะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างไร เพราะเรามีคอนเทนต์อยู่ในมือ ซึ่งได้มีการลงทุนมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น การทำตลาดต่างประเทศ รุกกลุ่มธุรกิจดิจิตอลดาวน์โหลดนี้ เบื้องต้นจะมีการนำศิลปินไปแสดงโชว์ เพื่อให้ลูกค้าเกิดการรับรู้และมีการดาวน์โหลดเพลงต่อไป”
สำหรับการนำศิลปินไปแสดงโชว์ในต่างประเทศนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกนำไปใช้ในการธุรกิจต่างประเทศในย่านเอเชียอยู่แล้ว ซึ่งประเทศในเอเชียที่บริษัทเข้าไปทำธุรกิจนั้น จะเป็นการเข้าไปร่วมกับพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศเอง ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือ ญี่ปุ่น
ล่าสุด ทางบริษัทได้ร่วมกับทางสมาคมเกี่ยวกับธุรกิจบันเทิงและเพลงในประเทศลาว ก่อตั้งบริษัท ชื่อลาวจีเอ็มเอ็ม โดยทางจีเอ็มเอ็ม มีหุ้นอยู่ 49% ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อที่จะยกระดับมาตรฐานเพลงลาวรวมไปถึงร่วมกันแก้ไขปัญหาการธุรกิจเพลงของลาวให้สามารถทำราคาได้ดีกว่านี้ ซึ่งจะมีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดียวกับจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพลง นักร้อง ซึ่งเป็นทั้งนักร้องลาว รวมถึงการนำคอนเทนต์เพลงไทยเข้าไปทำตลาดด้วย นอกจากนี้ บริษัทจะนำเอาคอนเท้นท์เพลงลาวมาเป็นส่วนหนึ่งของการนำไปทำตลาดต่างประเทศในยุโรปและอเมริกาด้วย
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า จะเห็นว่า ในปีหน้าบริษัทจะรุกหนักในธุรกิจด้านคอนเทนต์ดิจิตอล โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ซึ่งมองว่ารายได้ที่จะมาจากด้านดิจิตอลคอนเทนต์ จะมีกำไรมากถึง 50% จากรายได้รวมดิจิตอล บวกกับในปีหน้าที่จะรุกหนักเกี่ยวกับทีวีดาวเทียมที่จะเริ่มทยอยเปิดให้ครบทั้ง 5 ช่องตามแผนที่วางไว้ เชื่อว่า จะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะทำให้ภาพรวมของแกรมมี่ดีกว่าปีนี้ ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะกังวลในเรื่องของมีเดีย หรือเรื่องของงบโฆษณาในปีหน้าที่อาจจะน้อยลงจากการที่บริษัทข้ามชาติงดใช้เงินนั้น เชื่อว่า คอนเทนต์รายการทีวีที่มีอยู่ ถือเป็นรายการที่ติดลำดับต้นๆ ที่มีผู้ชมให้ความสนใจ ดังนั้น จึงมองว่าโฆษณาในแต่ละรายการยังจะดีอยู่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของทีวีดาวเทียม พบว่า หลังจากเปิดช่องแรก คือ แฟนทีวีไปแล้วกว่า 1 เดือน เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สามารถทำรายได้คุ้มทุน กล่าวคือ รายรับและรายจ่ายเท่ากัน โดยในเดือน พ.ย.นี้ มองว่า จะมีรายได้จากโฆษณาและดาวน์โหลดกว่า 2-3 ล้านบาท จากลูกค้าหลายราย เช่น โอสถสภา และ เอไอเอส ซึ่งแผนระยะต่อไปของช่องแฟนทีวี ช่วงกลางเดือน ธ.ค.จะเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาในช่อง เช่น โปรแกรมอินเทอร์เน็ตเว็บแคม เชื่อว่า จะเป็นการต่อยอดเพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้ได้มากขึ้น
ทั้งในเรื่องของรายได้ที่คาดว่าจะสูงกว่าปีนี้ รวมถึงกำไรที่น่าจะมากกว่าปีนี้เช่นกัน ซึ่งรายได้รวมปีนี้ของแกรมมี่ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่มีการเติบโตของรายได้สูงสุด ตามที่คาดการณ์ไว้ว่า รายได้รวมปีนี้เกินเป้าที่วางไว้กว่า 8,000 ล้านบาท กำไรสูงสุด 700 ล้านบาท