เอสเอฟเบรกแผนเข้าตลาดหุ้น เหตุตลาดหุ้นร่วงหนัก พร้อมทุ่ม 1.5 พันล.ปีหน้าผุดอีก 3 สาขา
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่และตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างหนัก บริษัทฯจึงได้ปรึกษากับทางบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินหรือ เอฟเอ คือ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัสกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ และได้ตัดสินใจชะลอแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปก่อน จนกวส่าถานการร์ต่างๆจะดีขึ้นรวมทั้งรอให้ดัชนีหุ้นไทยสูงกว่านี้ เพราะขณะนี้ต่ำมากประมาณ 400 กว่าจุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตา แม้จะลชะลอการเข้าตลาดหุ้น ก็ไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนของบริษัทฯ เนื่องจากว่าบริษัทฯก็มีความพร้อมด้านการเงินอยู่แล้วทั้งจากเงินสดหมุนเวียนของบริษัทฯและเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งเฉลี่ยแล้วใช้งบลงทุน 50%-50% จากทั้งสองแหล่ง
ทั้งนี้ปีหน้ายังมีแผนลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ในการเปิดสาขาใหม่อีกอย่างน้อย 3 สาขาคือ เอสเอฟเอ็กซ์ที่พัทยา จำนวน 9 โรง, เอสเอฟซีเนม่าที่ชลบุรี จำนวน 7 โรง และเอสเอฟเอ็กซ์ที่ขอนแก่น จำนวน 9 โรง ขณะที่ปีนี้ลงทุนเปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ใช้แบรนด์เอสเอฟเอ็กซ์ จำนวน 10 โรง ส่วนอีกสาขาได้เลื่อนไปเปิดปีหน้าแทนคือ ที่พัทยา โดยถึงสิ้นปีนี้บริษัทฯจะมีทั้งสิ้น 110 โรง จากจำนวน 11 สาขาเฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ถ้ารวมต่างจังหวัดด้วยก็จะเป็น 130 โรงจากจำนวน 14 สาขา
สำหรับตลาดรวมโรงหนังในปีหน้านั้นคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากว่าหนังฟอร์มใหญ่มีหลายเรื่องเช่น นเรศวรภาค 3, แฮร์รี่พอตเตอร์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยทำให้ปีหน้ามีความคึกคักมากกว่าปีนี้และรายได้รวมบริษัทฯก็จะโตขึ้นอีก
โดยปีนี้เอสเอฟตั้งเป้าเติบโต 10% หรือมีรายได้รวม 2,000 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าจะเติบโต 20% และส่วนแบ่งตลาดปีนี้ขยับมาอยู่ที่ 34% จากเดิมปีที่แล้วมี 30%
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่และตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างหนัก บริษัทฯจึงได้ปรึกษากับทางบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินหรือ เอฟเอ คือ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัสกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ และได้ตัดสินใจชะลอแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปก่อน จนกวส่าถานการร์ต่างๆจะดีขึ้นรวมทั้งรอให้ดัชนีหุ้นไทยสูงกว่านี้ เพราะขณะนี้ต่ำมากประมาณ 400 กว่าจุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตา แม้จะลชะลอการเข้าตลาดหุ้น ก็ไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนของบริษัทฯ เนื่องจากว่าบริษัทฯก็มีความพร้อมด้านการเงินอยู่แล้วทั้งจากเงินสดหมุนเวียนของบริษัทฯและเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งเฉลี่ยแล้วใช้งบลงทุน 50%-50% จากทั้งสองแหล่ง
ทั้งนี้ปีหน้ายังมีแผนลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ในการเปิดสาขาใหม่อีกอย่างน้อย 3 สาขาคือ เอสเอฟเอ็กซ์ที่พัทยา จำนวน 9 โรง, เอสเอฟซีเนม่าที่ชลบุรี จำนวน 7 โรง และเอสเอฟเอ็กซ์ที่ขอนแก่น จำนวน 9 โรง ขณะที่ปีนี้ลงทุนเปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ใช้แบรนด์เอสเอฟเอ็กซ์ จำนวน 10 โรง ส่วนอีกสาขาได้เลื่อนไปเปิดปีหน้าแทนคือ ที่พัทยา โดยถึงสิ้นปีนี้บริษัทฯจะมีทั้งสิ้น 110 โรง จากจำนวน 11 สาขาเฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ถ้ารวมต่างจังหวัดด้วยก็จะเป็น 130 โรงจากจำนวน 14 สาขา
สำหรับตลาดรวมโรงหนังในปีหน้านั้นคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากว่าหนังฟอร์มใหญ่มีหลายเรื่องเช่น นเรศวรภาค 3, แฮร์รี่พอตเตอร์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยทำให้ปีหน้ามีความคึกคักมากกว่าปีนี้และรายได้รวมบริษัทฯก็จะโตขึ้นอีก
โดยปีนี้เอสเอฟตั้งเป้าเติบโต 10% หรือมีรายได้รวม 2,000 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าจะเติบโต 20% และส่วนแบ่งตลาดปีนี้ขยับมาอยู่ที่ 34% จากเดิมปีที่แล้วมี 30%
